ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ภาครัฐทำคลอดแนวคิด “เศรษฐกิจดิจิทัล” เราจึงได้เห็นภาพการสนับสนุนและผลักดันประเทศไทยให้เข้าสู่ยุค “ไทยแลนด์ 4.0” ผ่านกิจกรรมและโครงการหลากหลายรูปแบบทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งล้วนเชื่อมโยงไปในทิศทางเดียวกัน ภายใต้เป้าหมายใช้เทคโนโลยีเพื่อตอบสนองชีวิตดิจิทัล
และแม้ว่าประเทศไทยจะเพิ่งจัดงานใหญ่ด้าน Startup เป็นครั้งที่ 2 แต่ “Startup Thailand 2017” ก็ทำให้เราเห็นอะไรเยอะมาก! ทั้งไอเดียเด็ดๆ แนวคิดเจ๋งๆ ทางเทคโนโลยี ที่เหล่า Startup พากันนำเสนอออกมาในรูปแบบเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิต รวมถึงเป็นตัวช่วยให้ภาคธุรกิจมีโอกาสเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น สะดวกขึ้นด้วย ใครที่ไม่มีโอกาสเข้าชมงานดังกล่าว คงต้องบอกว่าเสียใจด้วยเพราะงานมีขึ้นเมื่อวันที่ 6-9 กรกฏาคม เพิ่งผ่านมาหมาดๆ แต่ก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะเราได้ไปเยี่ยมชมงานครั้งนี้มาแล้ว บอกเลยว่าเดินชมไอเดียของเหล่า Startup ทั้งมือโปร มือใหม่มากกว่าร้อยรายในงาน ละลานตาไปหมด และแน่นอน…เราเก็บรายละเอียดมาฝากคุณแล้ว!
ขอเกริ่นเพื่อทำความเข้าใจก่อนว่า…ความน่าสนใจของงานนี้ไม่ได้มีแค่การรวมตัวครั้งใหญ่ของเหล่า Startup แต่ยังมีผู้ประกอบการรายใหญ่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม การเงิน และภาครัฐ ก็มาออกบูธโชว์เทคโนโลยีล้ำสมัย ภายใต้ธีม “Scale UpAsia” ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศหรือระดับภูมิภาค กับเทรนด์ที่คาดว่ามีโอกาสเติบโตสูง 9 ด้าน อาทิ เกษตรและอาหาร (AgriTech/FoodTech), การแพทย์และสาธารณสุข (MedTech/HealthTech), เทคโนโลยีการเงิน (FinTech), กลุ่มอุตสาหกรรม 4.0 (IndustryTech), การเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ (TravelTech), ไลฟ์สไตล์ (LifeStyle), พาณิชยกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce), ภาครัฐและการศึกษา (GovTech/EdTech) และอสังหาริมทรัพย์ (PropertyTech-UrbanTech)
แค่ได้เดินชมเทคโนโลยีและไอเดียต่อยอดสู่การสร้างโอกาสทางธุรกิจก็ว่าเจ๋งแล้ว แต่ภายในงานยังมีเวทีบรรยาย เสวนา จากวิทยากรที่มีชื่อเสียงทั้งแวดวง Startup นักลงทุน หรือแม้แต่ตัวแทนจากศูนย์บ่มเพาะ Startup ก็มี นี่ยังไม่รวมถึงโอกาสดีๆ ที่ผู้สนใจและบรรดาคนมีฝันอยากเป็น Startup จะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกัน การให้ปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญแบบตัวต่อตัว กิจกรรมสร้างเครือข่าย Startup เวทีแข่งขัน Pitching ประชันไอเดียต่อหน้าคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และเท่าที่เดินชมงานดังกล่าวจนทั่ว บอกได้เลยว่าโอกาสลอยอยู่รอบตัวจริงๆ เพราะมีนักลงทุน นักธุรกิจคนดัง มาเดินชมงานอยู่หลายคนทีเดียว! แถมไม่ได้มีแค่คนไทยที่สนใจ เพราะหลายๆ บูธก็มีชาวต่างชาติให้ความสนใจอยู่เหมือนกัน
อีกส่วนที่น่าสนใจก็คือ โซนนิทรรศการจากมหาวิทยาลัยกว่า 30 แห่งทั่วประเทศ ที่รวบรวมผลงานต้นแบบและแผนธุรกิจในโครงการ Innovative Startup ที่มีความรู้ความสนใจในเทคโนโลยีและการประยุกต์ใช้ มาจัดแสดงเพื่อโชว์ศักยภาพเยาวชนไทยต้นกล้ายุคใหม่ของประเทศไทยอีกด้วย
กลับมาสู่เรื่องสำคัญที่หลายๆ คนกำลังให้ความสนใจ กับความพิเศษที่ฟากผู้ประกอบการรายใหญ่แวดวงต่างๆ พกมานำเสนอภายในงานครั้งนี้ โดยเฉพาะฝั่ง FinTech ภาคการเงินการธนาคาร ต้องเรียกว่าได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ SCB อาจเพราะเป็นภาคการเงินที่มี DVA(Digital Ventures Accelerator) อยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องความเชี่ยวชาญคงไม่ต้องสงสัย ทั้งด้านการเงิน เทคโนโลยี และการลงทุน แถม SCB ยังประกาศรับ Startup ที่สนใจเข้าสู่ DVA batch 1 ภายในบูธของงานนี้อีกด้วย เสมือนเปิดประตูต้อนรับเหล่า Startup ตลอดเวลา
แถมภายในบูธธนาคารไทยพาณิชย์ & Digital Venture ยังมีบริการ “Startup Clinic” ให้คำปรึกษาผู้ที่สนใจอยากเริ่มต้นธุรกิจกันฟรีๆ ภายในงาน ไม่ว่าจะมีแผนธุรกิจอยู่แล้วหรือเป็นแค่ไอเดียในฝัน เขาก็ให้คำแนะนำตั้งแต่การเตรียมทีมงานคุณภาพ แนวคิดทางธุรกิจ การเลือกกลุ่มเป้าหมายอย่างถูกต้อง โอกาสในการเติบโตเป็นธุรกิจ การระดมทุน หรือแม้แต่เรื่องการวางแผน การบริหารเงิน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ Startup ส่วนใหญ่ขาดความเชี่ยวชาญและเป็นต้นเหตุให้ธุรกิจไปไม่ถึงความสำเร็จ หรือหากใครชอบเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ในบูธดังกล่าวก็มีกิจกรรมเปิดโอกาสให้ Startup ที่ผ่านโครงการบ่มเพาะ DVA รุ่นก่อน มาเปิดเผยเคล็ดลับสู่ความสำเร็จแบบไม่มีหมกเม็ดด้วย ทั้ง Refinn ผู้ให้บริการรีไฟแนนซ์ออนไลน์ และ OneStockHome แพลทฟอร์มซื้ออุปกรณ์ก่อสร้างออนไลน์ ใครที่มีโอกาสได้ฟังก็น่าจะได้แรงบันดาลใจหรือไอเดียกลับไปประยุกต์ใช้อยู่ไม่น้อย
หรือถ้าใครสนใจเทคโนโลยีที่ SCB มีไว้ให้บริการทั้ง SCB Ripple, PLUG ‘n PAY, SCB PromptPay และ SCB Connect ก็ขอรับคำปรึกษาได้จากบูธเดียวกันนี่แหละ อย่าเพิ่งคิดว่าบริการของธนาคารจะหลุดธีมงาน Startup นะจ๊ะ เพราะการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพของ Startup ก็รวมถึงช่องทางดูแล การชำระเงิน หรือความสะดวกในการโอน-ชำระเงินข้ามประเทศด้วย ซึ่ง “SCB Ripple” ก็เป็นบริการใหม่ของธนาคารไทยพาณิชย์ด้วย กับการบริการโอนเงินไปญี่ปุ่นผ่าน blockchain ทำให้ลูกค้า SCB ในไทยสามารถใช้บริการโอนเงินข้ามประเทศกับผู้ใช้บริการชาวญี่ปุ่นที่ใช้บริการ Ripple และ SBI Remit เสร็จสิ้นภายในเวลา 30 นาทีต่อรายการ ซึ่งถือเป็นการอำนวยความสะดวกครั้งแรกในประเทศไทยก็ว่าได้ แถม SCB ยังประกาศขยายบริการรูปแบบดังกล่าวให้ครอบคลุมทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก เรียกว่าสนับสนุนการขยายธุรกิจของเหล่า Startup ให้เติบโตได้อย่างไม่มีข้อจำกัด