ตำแหน่ง No.1 “Video on Demand” ของ “Netflix” เริ่มสะเทือน หลังยักษ์ใหญ่อย่าง Disney รุกหนัก!

  • 67
  •  
  •  
  •  
  •  

เป็นเวลากว่าหลายปี ที่สมรภูมิ VOD (Video on Demand) มี Netflix ครองแชมป์มาโดยตลอด ในปัจจุบัน number one ก็ยังคงเป็น Netflix แต่อาจเริ่มมีการสั่นคลอนกันนิดๆ ในช่วงพักหลัง เพราะได้มีบริษัทที่เป็นดั่ง legacy giant หรือ ยักษ์ใหญ่ในตำนาน ของวงการหนังและมีเดียอย่าง HBO ที่ปล่อย “HBO Max” และ Disney ที่ปล่อย “Disney Hotstar” กับ “Disney+” กระโดดเข้าร่วมแจมด้วยคน

ในบทความนี้ เราจะเน้นที่ “Netflix vs. Disney+” เพราะช่วงพักหลังดูจะเป็น talk of the town กันเหลือเกินสำหรับมวยคู่นี้ ล่าสุดออกข่าวอย่างฮือฮา ว่า Disney เคลมได้แซงหน้า Netflix ในด้าน total subscriber หรือจำนวน subscribe ทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าเป็นแบบนี้ทำไมถึงเรายังบอกว่า ปัจจุบัน number one ก็ยังคงเป็น Netflix”?

 

ซีรีส์ “Stranger Things” ที่ช่วยฉุด Netflix จาก subscriber ดิ่งลง

เวลาพูดถึง “Disney” จะต้องรวมแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ทางบริษัทมีด้วย อย่าง Hulu และ ESPN+ ไม่ใช่แค่ “Disney+” กับ “Disney Hotstar” ในขณะที่ “Netflix” เป็นแบรนด์ Standalone เมื่อเทียบกับ Disney ที่มี product เยอะกว่า

ดังนั้นหากมองแพลตฟอร์มแบบเดี่ยวๆ จากสถิติก็ยังดูเหมือนว่า Disney+ ยังเทียบเท่า Netflix ไม่ได้ อย่างไรก็ตามแต่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเติบโตของ Disney+ นั้นก็น่าชื่นชมพอควร เมื่อเทียบกับข่าวลบต่างๆ ที่พูดถึง Netflix ในช่วงพักหลัง

ดูเหมือนปี 2022 อาจไม่ใช่ปีที่ดีนักสำหรับ Netflix เพราะเปิดตัวมาสามเดือนแรก subscriber ก็หายไปแล้วกว่า 200,000 ราย และต่อจากนั้นก็อีก 1 ล้าน ราย (ซึ่งก็ยังดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 2 ล้าน ราย) ไม่ว่าจะเป็นข่าวปลดพนักงานเป็นร้อย ไปจนถึงการปราบปรามการแชร์รหัส ก็ดูจะไม่ค่อยสู้ดีนัก และเมื่อทาง CEO ของ Netflix หรือ คุณ Reed Hastings โดนถามว่าอะไรเป็นตัวหยุดให้ไม่ดิ่งไปมากกว่านี้ เขาตอบสั้นๆ ว่า ถ้ามีสิ่งเดียวที่หยุดการดรอปนี้ได้ คงไม่พ้น Stranger Things”

 

Netflix หวังพลิกสถานการณ์ ด้วยการเพิ่มแพ็กเกจแบบถูกลง

ประเด็นที่อาจพูดหนาหูมากที่สุด ก็คือการปราบปามการแชร์รหัสผ่าน โดยทาง Netflix ออกมาบอกว่า หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้การเติบโตของ subscribe น้อยลง ก็เพราะการแพร่ของการแชร์รหัสผ่าน ยกตัวอย่างจากเพียงประเทศสหรัฐฯและแคนาดา ทาง Netflix รายงานว่ามากกว่า 100 ล้าน บ้านเข้ามาใช้บริการผ่านการแชร์รหัส ประกอบกับการเซอร์เวย์มากกว่า 2,209 คนที่สหรัฐ พบว่ามากถึง 17% มีการแชร์รหัส ถ้าลองมองในมุมของทั่วทั้งโลก ตัวเลขก็อาจจะสูงลิ่วกว่านี้เยอะก็เป็นได้

ด้วยสาเหตุนี้ ทาง Netflix จึงต้องการกระตุ้นยอด subscribe เลยหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวด้วยการนำเสนอค่าเมมเบอร์ที่ถูกลง มีโฆษณาแทรก และสามารถแชร์จากระบบได้เลย โดยเมื่อช่วงต้นปีได้เริ่มทดลองแล้วสามประเทศ ได้แก่ คอสตาริกา เปรู และชิลี บทวิเคราะห์จากทาง Statista ได้กล่าวไว้ว่า จากการสำรวจ 55% จะไม่ยอมจ่ายเพิ่มเพื่อแชร์รหัสกับผู้อื่น ในขณะที่ 33% สนใจ จึงสรุปได้ว่า Netflix ยังมีโอกาสสูงที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้

 

Disney+ พุ่งถึง 152 ล้านซับ ใช้เวลาเพียง 3-4 ปี

ในขณะเดียวกัน ทางฝั่ง Disney+ เพิ่งเปิดตัวไปมากกว่า 42 ประเทศและ 11 พื้นที่ทั่ว ยูโรป เอเชีย และ แอฟริกา โดยได้ subscriber มากขึ้นถึง 14 ล้าน ในช่วงต้นไตรมาสที่ 3 เทียบจาก 7.9 ล้าน เมื่อไตรมาสที่ผ่านมา

รวมๆ แล้วมีทั้งหมด 152 ล้าน subscribe ซึ่ง Netflix ใช้เวลามากกว่า 8-12 ปี (ขึ้นอยู่ว่าเริ่มนับเมื่อไหร่) ในการมาถึงจุดนี้ แต่เพียง 3-4 ปี สำหรับ Disney ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่แปลกใจนัก เพราะหนังและซีรีส์จาก Marvel ซึ่งอยู่ภายใต้ Disney ก็เป็นที่ชื่นชอบกันทั่วโลกอยู่แล้ว และยังไม่รวมพวกหนัง animation ต่างๆ ที่บางเรื่องนั้นมีมาก่อน Netflix เสียอีก

ถ้าถามว่าสถานการณ์ของ Netflix ยังน่าเป็นห่วงไหม? ก็อาจจะตอบได้ในระดับหนึ่ง ว่าพ้นขีดอันตรายไปบ้างแล้ว เพราะจากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเสียมากถึง 2 ล้าน subscriber แต่ตัวเลขจริงแล้วเสียแค่ 1 ล้าน จนหุ้นกลับมาดีดตัวกลับก็ยังดีกว่าไม่กลับตัวเลย แต่พร้อมกันนั้น ก็ต้องคอยจับตาดูสมรภูมินี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะคู่แข่งอย่าง Disney+ ที่มาพร้อมจักรวาล “Marvel” ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบกันทั่วทั้งโลก และเชื่อมโยงกันแบบ Multiverse ทั้งหนังและซีรีส์

 

อ้างอิง:
Statista 1
Statista 2
Statista 3
TIME
METRO
SCREENRANT


  • 67
  •  
  •  
  •  
  •  
sailwithme
Postera crescam laude