หลัง GoPro ประสบความสำเร็จอย่างมากกับ GoPro Hero 7 Black ส่งผลให้ GoPro สามารถสร้างยอดขายในระดับกำไรในรอบหลายปีที่ผ่านมา ทว่า GoPro กำลังถูกท้าทายครั้งใหม่ จากคู่แข่งหน้าเดิมที่เคยคว่ำ GoPro Karma แบบเจ๊งตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดตัว ครั้งนี้ DJI ลงสู่สนามกล้อง Action Camera แบบเต็มตัว เป็นศึกใหญ่ที่ GoPro ต้องรับมือ
GoPro Hero 7 VS DJI Osmo Action
เรียกได้ว่าเป็นศึกมหากาพย์ทางการตลาดครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง และอาจจะเรียกได้ว่านี่คือคู่ปรับตลอดกาลระหว่าง GoPro ผู้บุกเบิกและผู้นำในตลาดกล้อง Action Camera กับ DJI บริษัทเทคโนโลยีจากจีนผู้นำในตลาด Drone ติดกล้อง ที่หากมองดูผิวเผินทั้ง 2 บริษัทแทบไม่มีความเกี่ยวข้องกัน โดย GoPro จะเป็นผลิตภัณฑ์กล้องเพื่อใช้ในกิจกรรมที่สมบุกสมบัน ขณะที่ DJI จะเป็นผลิตภัณฑ์ Drone เพื่อใช้ในการถ่ายภาพมุมสูง รวมถึงอุปกรณ์กันสั่นสะเทือนสำหรับถ่ายภาพ
เมื่อผู้นำตลาด Drone ถูกท้าทาย
จนกระทั่ง GoPro เริ่มให้ความสำคัญกับภาพมุมสูง จึงมีการคิดค้นผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในการถ่ายภาพมุมสูงผ่านกล้อง Action Camera ภายใต้ชื่อรุ่น Karma แต่เมื่อข้อมูล GoPro Karma หลุดไปถึงหู DJI ผู้นำในตลาด Drone ติดกล้อง กระบวนการผลิต Drone รุ่นใหม่ของ DJI จึงถูกระงับ และนำทรัพยากรทั้งหมดมาทุ่มเทในการคิดค้นและพัฒนา Drone รุ่นใหม่บนพื้นฐานของ GoPro Karma จนเกิดเป็น DJI Mavic Pro
และเพื่อปกป้องตลาด Drone ติดกล้อง DJI จึงชิงเปิดตัว DJI Mavic Pro ก่อนการเปิดตัว GoPro Karma พร้อมทั้งส่งให้เหล่า Influencer ทดลองใช้ ส่งผลให้ GoPro เลื่อนการเปิดตัว Karma ออกไป แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพราะเมื่อ GoPro Karma เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ยอดขายกลับไม่เป็นอย่างที่หวังและตั้งใจ จนส่งผลต่อรายได้รวมของ GoPro
GoPro กลับสู่จุดแข็งพร้อมแก้ปัญหา
เรียกได้ว่า GoPro Karma กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ GoPro เนื่องจากมีการทุ่มเทสรรพกำลังและทรัพยากรทุกอย่าง จนทำให้ตลาด Action Camera ถูกตีตลาดโดยสินค้าจากจีนด้วยการใช้ราคาเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ทำให้โครงสร้างของตลาด Action Camera ถูกแบ่งออกเป็น High End ที่มี GoPro ยืนหนึ่งอย่างไร้เทียมทาน Middle End กลุ่มสินค้าที่มีแบรนด์และเทคโนโลยีใกล้เคียงกับ GoPro แต่ราคาถูกกว่า และกลุ่ม New Entry ที่เน้นราคาถูกสามารถถ่ายภาพและวิดีโอได้เท่านั้น
นั่นเองที่ GoPro ได้สติกลับมาตั้งหลักใหม่ที่จุดแข็งของตัวเอง แม้จะยังแค้งฝังหุ่นกับคู่แข่ง พร้อมอุดแผลใหญ่ด้วยการยกเลิกสายการผลิต GoPro Karma แล้วทุ่มทุกสิ่งอย่างไปกับกล้อง GoPro อีกครั้ง โดยโจทย์ใหญ่คือการดึงกลุ่ม New Entry ให้ออกมาจากสินค้าจีน ด้วยการเปิดตัวกล้อง GoPro สเปคใหม่ที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกล้อง GoPro รุ่นปกติกับราคาที่ล่อตาล่อใจ ให้กลุ่ม New Entry ยอมจ่ายมากขึ้นอีกนิดเพื่อการรับประกันและคุณภาพ รวมถึงความเป็นแบรนด์ GoPro
การกลับมาครั้งนี้ยังส่ง GoPro Hero 6 กล้อง Action Camera ตระกูล Hero ซึ่งห่างหายการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มาระยะหนึ่ง พร้อมด้วยกลยุทธ์ใหม่ ที่นอกจากกลุ่มคนชอบกิจกรรมเป็นเป้าหมายหลักแล้ว ยังเจาะไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวด้วย ซึ่งกล้อง GoPro จะมาทดแทนการใช้สมาร์ทโฟนถ่ายรูป เนื่องจากการถ่ายรูปด้วยสมาร์ทโฟนจะทำให้สมาร์ทโฟนแบตฯ หมดเร็วขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นหากสมาร์ทโฟนตกพื้นหรือตกน้ำรับรองได้ว่ามีร้องไห้!!! แต่ GoPro ทนได้ทั้งแรงกระแทกและน้ำ
ส่ง Hero 7 ฺBlack ท้าชนอุปกรณ์กันสั่น
การเปิดตัว Hero 6 ของ GoPro เสมือนใบเบิกทางกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง และตอกย้ำความสำเร็จด้วย GoPro รุ่นใหม่อย่าง Hero 7 Black โดยเฉพาะจุดเด่นเรื่องระบบกันสั่นที่ฝังอยู่ในกล้องที่เรียกว่า ดีจนน่าตกใจ!!! ถึงขนาดมีการทดสอบแบบเปรียบเทียบกับอุกรณ์กันสั่นอย่าง DJI Osmo ใช่แล้ว…DJI เจ้าเดิมที่เคยทำให้ GoPro เจ๊งไม่เป็นท่า และดูเหมือนว่าครั้งนี้ Hero 7 Black ตั้งใจมาเพื่อชำระแค้นแทนเรื่องราวในอดีต
เพราะผลที่ได้คือ GoPro Hero 7 Black เหนือกว่า และนั่นยิ่งช่วยกระตุ้นยอดขายให้ Hero 7 Black เป็นที่ต้องการของตลาด แน่นอนว่า DJI นอกจากจะเป็นผู้นำในตลาด Drone แล้ว DJI ยังเป็นผู้นำในตลาดอุปกรณ์กันสั่นอีกด้วย DJI จึงโต้กลับด้วยการส่ง DJI Osmo Pocket อุปกรณ์กันสั่นพร้อมด้วยกล้องขนาดพกพา ที่เรียกว่านอกจากจะสะดวกแล้ว ยังเต็มไปด้วยสเปคแบบอุปกรณ์กันสั่งแบบเครื่องรุ่นใหญ่
แม้จะพกพาสะดวก สเปคแรงระดับ 4K แต่ DJI ก็มีหนึ่งจุดอ่อนที่เรียกได้ว่า ยังแพ้ GoPro อยู่หนึ่งก้าวเสมอ นั่นคือระบบกันน้ำ ที่ GoPro ถือเป็นจุดเด่นที่สำคัญของกล้อง Action Camera ที่ต้องสามารถถ่ายได้ในทุกสภาพแวดล้อม ไม่เว้นแม้แต่ใต้น้ำ แต่ถือเป็นจุดอ่อนสำคัญของ DJI และคงไม่แปลกที่ครั้นี้ DJI จะพ่ายแพ้ไปแบบคำที่มีคำจีนกล่าวไว้ “ล้างแค้นครั้งนี้อีก 10 ปีก็ยังไม่สาย”
ล้างแค้นไม่ต้องรอ 10 ปีส่ง Osmo Action เลย
ในเมื่อ GoPro มอง DJI เป็นศัตรู งั้นก็เป็นศัตรูมันตรงๆ ไปเลย นี่…อาจจะ…เป็นหนึ่งในหลายความคิดของผู้บริหารจาก DJI นั่นเพราะล่าสุด DJI กระโดดลงสู่สมรภูมิกล้อง Action Camera อย่างเต็มตัวและเต็มรูปแบบ กับผลิตภัณฑ์กล้อง Action Camera อย่าง DJI Osmo Action ที่เรียกว่าเป็นการประกาศศึกท้ารบเต็มตัวกับผู้นำตลาดกล้อง Action Camera อย่าง GoPro
โดยจุดเด่นหนึ่งที่ถือว่าเป็นไฮไลท์สำคัญของ DJI Osmo Action คือความสามารถในการ Selfie ด้วยจอด้านหน้าที่มีขนาดใหญ่ สามารถเห็นภาพ Selfie ได้อย่างชัดเจน ขณะที่กล้อง GoPro การถ่ายรูปแบบ Selfie จำเป็นต้องใช้แอปพลิเคชั่นเข้ามาช่วย นอกจากนี้ DJI Osmo Action ยังมาพร้อมกับระบบกันน้ำที่เรียกว่าเป็นการแก้ไขจุดอ่อนของ DJI ให้ทัดเทียมกับ GoPro
ที่สำคัญราคาจะเป็นเครื่องจูงใจที่ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อ โดย DJI Osmo Action เปิดตัวอยู่ที่ 12,000 บาท เมื่อเทียบกับ GoPro Hero 7 Black ที่มีสนนราคาค่าตัวอยู่ที่ 14,500 บาท เรียกว่าถูกกว่ากันถึง 2,500 บาท แต่ความสามารถใกล้เคียงกับ GoPro Hero 7 Black โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบกันสั่นสะเทือน ที่ DJI เป็นผู้นำตลาดอุปกรณ์กันสั่นสะเทือน
จุดแพ้ชนะอยู่ที่ Influencer และเทคโนโลยี
หากดูการตลาดย้อนหลังของทั้ง 2 ค่ายจะเห็นว่า มีการใช้ Influencer ที่มีชื่อเสียงในการนำสินค้ามาเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ยกตัวอย่างเช่น การนำ DJI Mavic Pro มาเปรียบเทียบกับ GoPro Karma หรือการนำ GoPro Hero 7 Black มาเปรียบเทียบกับอุปกรณ์กันสั่นจากค่าย DJI อย่าง Osmo Mobile ซึ่งแน่นอนว่าในครั้งนี้ก็เช่นกันที่ DJI น่าจะให้ Influencer ทั้งหลายนำ DJI Osmo Action มาเปรียบเทียบกับ GoPro Hero 7 Black ผลิตภัณฑ์เรือธงจากค่าย GoPro
นอกจากนี้ทั้ง GoPro และ DJI คงจะต้องสรรหาเทคโนโลยีใหม่ที่ยังมีให้เลือกใช้เพื่อมาต่อสู้ในสมรภูมิ Action Camera โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ Pain Point ของคนใช้งาน อย่างหนึ่งที่ดูเหมือนผู้ใช้กำลังพูดถึงคือของ Focus ภาพและการซูมภาพ ที่แม้ว่า GoPro จะมีระบบซูมภาพแต่เป็นการซูมในระยะที่น้อย และต้องซูมก่อนการถ่ายเท่านั้น
เรียกว่าเป็นศึกที่สมน้ำสมเนื้อสูสี ไม่ต่างจากแบรนด์ใหญ่อย่าง Coke VS Pepsi หรืออย่าง Mercedes Benz VS BMW ใครจะอยู่ใครจะไป ต้องติดตามกันยาวๆ เพราะศึกนี้ทั้งคู่ประกาศชัด…
ไม่มีใครยอมใคร!!!