จุดใหญ่ใจความหลักของการทำธุรกิจทุกชนิดจะต้องมี Business Model ที่ชัดเจนก่อน เพื่อการก้าวสู่ความสำเร็จที่ง่ายขึ้น โดยจะประกอบด้วย 6 หัวข้อใหญ่ๆ ที่เจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องคิด ได้แก่ อธิบายให้ได้ว่า คุณจะขายอะไร กระบวนการในธุรกิจของคุณเป็นแบบไหน กลุ่มเป้าหมายคือใคร แหล่งสินค้าของคุณอยู่ไหน ต้นทุนค่าใช้จ่ายมีอะไรบ้าง และจะตั้งราคาขายเท่าไหร่
หลังจากที่มีแนวคิดในการทำธุรกิจแล้ว มีการเขียน Business Model ของตัวเองที่ชัดเจน ที่นี้มาศึกษาดูว่าการขายในแบบทำเองขายเองนั้นจะสามารถขายที่ไหนได้บ้าง และจะต้องทำอย่างไร
การขายของออนไลน์ในรูปแบบของการทำเองขายเองนั้นหมายความว่า คุณมีสินค้าของตัวเองที่จะนำมาขาย แล้วก็เปิดหน้าร้านขายออนไลน์ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาเอง ซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันในการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ หรืออาจจะสร้างเป็นบล็อก แล้วขายสินค้า หรือจะขายผ่านเว็บไซต์ที่ให้บริการในลักษณะของ Social Network หรือจะไปเช่าแผงใน e-Marketplace ใหญ่ๆ ก็ทำได้เช่นเดียวกัน
การเปิดเว็บไซต์ขายของคงจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ค่อนข้างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ซึ่งจุดดีคือเราสามารถทำอะไรกับเว็บไซต์ของเราก็ได้ จะเพิ่ม-ลดบริการอะไรก็สามารถทำได้ตามต้องการ หรือจะเข้าไปลุยในตลาดต่างประเทศก็สามารถทำได้ง่าย แต่การจะเปิดเว็บไซต์เองนั้นก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าเช่าเว็บโฮสติง ซึ่งการจะเลือกใช้บริการของไทยกับต่างประเทศนั้นจะมีข้อดีข้อด้อยต่างกันไป
สำหรับคนที่มุ่งทำตลาดในเมืองไทย การใช้บริการเว็บโฮสติงของคนไทยจะทำให้สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว แต่จุดด้อยในแง่ของการทำตลาด การทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับในเสิร์ชเอนจินก็คือ Google จะส่งบอตมาเก็บข้อมูลในเว็บไซต์ของเราแค่วันละครั้งหรือหลายวันครั้ง ซึ่งนั่นจะทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับเป็นที่นิยม หรือมีค่า “pr” สูงๆ จากการจัดลำดับของ Google ได้ช้า ส่งผลให้การค้นหาเว็บไซต์ของคุณบนหน้าเสิร์ชเอนจินก็จะถูกค้นหาพบได้ยากตามไปด้วย
ส่วนการใช้บริการเว็บโฮสติงของต่างประเทศ ข้อดีหลักๆ ในแง่ของการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับก็คือ Google จะส่งบอตมาเก็บข้อมูลวันละหลายๆ ครั้ง ซึ่งทำให้รายละเอียดต่างๆ ในเว็บไซต์ของคุณถูกเก็บไว้ที่ Google ได้มาก ซึ่งเมื่อถูกค้นหาด้วยเสิร์ชเอนจินก็จะมีโอกาสที่หน้าเว็บไซต์ของคุณจะขึ้นมาได้เร็วกว่าการใช้บริการเว็บโฮสติงของคนไทย แต่ข้อเสียก็คือจะทำให้คนในประเทศเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้ช้ากว่าการมีเว็บโฮสติงในประเทศ นอกจากนี้หากเกิดปัญหาการติดต่อคนในประเทศด้วยกัน คนไทยด้วยกัน เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ก็ย่อมจะง่ายกว่า
สำหรับการเปิดร้านขายของโดยมีสินค้าเป็นของตัวเองไม่ต้องรับมาขายนั้น ปัจจุบันก็มีช่องทางใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่หลายแบบด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องไปจดโดเมนเนมหรือเช่าเว็บโฮสติงก็ได้ เช่น การใช้เว็บ Social Network ที่เปิดให้บริการอยู่มากมายหลายแห่งบนโลกอินเทอร์เน็ตมาเป็นแหล่งทำมาหากินแทน โดยนอกจากจะปรับเว็บ Social Network ที่เป็นเหมือนพื้นที่ส่วนตัวมาสร้างร้านค้าให้ตัวเองแล้ว บางแห่งยังมี Marketplace เปิดให้ขายสินค้าบนเว็บไซต์ได้ด้วย
เว็บไซต์ที่ดีต้องเป็นอย่างไร?
ก่อนที่จะไปเปิดหน้าร้านขายของ คุณต้องรู้ก่อนว่าเว็บไซต์ที่ดีนั้นควรจะมีอะไรบ้าง เพื่อจะได้ออกแบบโครงสร้างรายละเอียดบนหน้าเว็บไซต์ หน้าบล็อก หรือหน้าร้านค้าของตัวเองได้ ซึ่งรายละเอียด และสิ่งที่ต้องรู้เพื่อการสร้างเว็บไซต์ที่ดีเหล่านี้จะส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ และทำให้คนที่เข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณรู้สึกว่าไม่ถูกหลอกลวงอีกด้วย
เว็บไซต์ที่ดีมีคุณภาพนั้นมีองค์ประกอบอยู่ 7 ข้อหลักๆ ด้วยกัน นั่นคือ Affiliation มีการระบุว่าเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับอะไร มีความเป็นกลาง, Audience มีกลุ่มเป้าหมายของผู้ใช้งานที่ชัดเจน, Authority มีความน่าเชื่อถือของข้อมูล, Content ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ ไม่ผิดพลาด ตรงประเด็น, Currency ข้อมูลที่นำเสนอต้องทันสมัยตลอดเวลา, Design รูปแบบหน้าเว็บไซต์เข้าใจง่าย และ Objectivity วัตถุประสงค์ของเว็บไซต์ต้องชัดเจนว่าเราเป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับอะไร ให้บริการอะไร ขายอะไร
นอกจากนี้ข้อมูลที่จะนำไปใส่ไว้บนเว็บไซต์นั้นจะต้องเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพด้วย เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยคุณลักษณะของข้อมูล หรือสารสนเทศที่มีคุณภาพจะประกอบด้วย 9 ส่วนหลักๆ คือ Accurate ข้อมูลที่นำไปใส่ไว้บนเว็บไซต์จะต้องมีความถูกต้อง ไม่ผิดพลาด, Complete การนำเสนอข้อมูลจะต้องมีเนื้อหาที่ครบถ้วน สมบูรณ์ มีการแสดงข้อเท็จจริง เช่น ถ้าจะขายของก็ต้องมีรูปภาพสินค้า รายละเอียดของสินค้า และราคาสินค้า เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน สื่อสารสนเทศที่ผลิตขึ้นมาต้องมีราคาสมเหตุสมผล ไม่แพงเกินไป เหมาะสมกับการนำมาใช้งาน (Economical), Flexible มีความคล่องตัวในการใช้งาน สามารถใช้ได้หลายรูปแบบ มีการเชื่อมโยงไปยังบริการอื่นๆ ที่อยู่บนเว็บไซต์, Reliable มีความน่าเชื่อถือ มีแหล่งที่มาของข้อมูล มีข้อมูลที่สามารถติดต่อเจ้าของเว็บไซต์ได้จริง
Relevant สื่อข้อความออกมาได้ตรงประเด็น เช่น ถ้าขายรองเท้ากีฬา ข้อมูลที่นำเสนอก็ต้องเกี่ยวกับรองเท้ากีฬา ไม่ใช่นำเสนอเรื่องชีวิตสัตว์ เป็นต้น, Simple ข้อความที่สื่อออกไปต้องมีรูปแบบที่เรียบง่าย ธรรมดา เข้าใจง่าย โดยจะต้องง่ายทั้งการอ่าน การค้นหาข้อมูล และง่ายต่อการเข้าชมหรือเข้าใช้, Timely ข้อมูลที่นำเสนอต้องทันต่อเหตุการณ์ เหมาะสมกับเวลาในช่วงนั้น และ Verifiable ข้อมูลต่างๆ ต้องสามารถตรวจสอบได้ ยืนยันได้ เป็นข้อมูลที่เป็นจริง และสามารถตรวจสอบได้ว่าเจ้าของเว็บไซต์นั้นมีตัวตนจริง
เมื่อจัดหาข้อมูลเตรียมความพร้อมให้ตัวเองได้แล้ว ลองออกแบบหน้าเว็บไซต์ของตัวเองดูคร่าวๆ แล้วว่าจะเอาข้อมูลอะไรไว้ตรงไหน ส่วนไหนบนหน้าจอจะทำอะไร ก็มาลงมือสำรวจทำเลกันเลยว่าจะไปเปิดหน้าร้านที่ไหนได้บ้าง แล้วจะต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อจะเปิดหน้าร้านได้
เปิดหน้าร้านฟรีๆ กับ Google
การเปิดหน้าร้านกับ Google สามารถทำได้โดยการไปสมัครเป็นสมาชิก และสร้างหน้าบล็อกของตัวเองที่ Blogger.com โดยคุณสามารถสร้างหน้าบล็อกได้เป็นพันๆ บล็อก ซึ่งแต่ละบล็อกก็จะเป็นหน้าร้านของคุณแต่ละแห่ง นั่นหมายความว่าคุณสามารถเปิดหน้าร้าน 100 แห่งหรือเป็นพันๆ แห่งได้พร้อมๆ กันภายใต้ชื่อสมาชิกเดียว
แต่ละบล็อกจะมีการตั้ง URL ของตัวเอง แต่จะเป็นในลักษณะของ Sub Domain ย่อยลงไป ดังนั้นชื่อ URL จะเป็นลักษณะดังนี้ www.yourname.blogspot.com (ที่ Blogger.com นั้นจะใช้ Blogspot.com เป็นโดเมนเนมหลัก)
การสร้างบล็อกของที่ Blogger.com นั้นจะมี Template หลักให้เลือก คุณก็คลิกเลือก Template ที่ต้องการ ซึ่ง Template หรือโครงสร้างหน้าบล็อกเหล่านี้คุณสามารถนำมาปรับเปลี่ยน แก้ไข Code เองภายหลังได้ หรือจะไป Copy Code ฟรี ที่มีแจกเอาไว้บนอินเทอร์เน็ตก็ได้ แต่เสถียรภาพในการใช้งานก็จะขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้เขียน Code นั้นด้วย
ข้อดีของการเปิดหน้าร้านที่ Blogger.com คือ มี Tools สำหรับเพิ่มเติม ตกแต่งหน้าบล็อกให้เลือกมากมาย สามารถแก้ไข Code เองได้ และที่สำคัญคือ Google จะส่งบอตเข้ามาเก็บข้อมูลบนหน้าบล็อกเร็ว อีกทั้งยังสามารถติดโฆษณาได้ ใช้งานง่าย ออกแบบง่าย ระบบมีความเสถียรสูง
ทั้งนี้จากประสบการณ์พบว่าในช่วงเริ่มแรกที่ทำบล็อกนั้น Google จะส่งบอตมาเก็บช้า ต้องรอเป็นเดือน แต่พอทำไปสักระยะเริ่มมีการเอาไปโฆษณากับเว็บไซต์หรือบล็อกหลายๆ แห่งที่ดังๆ จากนั้นจึงค่อยสร้างบล็อกเพิ่มขึ้นอีก โดยบล็อกที่สร้างหลังๆ นั้น Google มีการส่งบอตเข้ามาเก็บข้อมูลเร็วขึ้น แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ทำโฆษณาหรือเพิ่มข้อมูลเข้าไปก็ยังมีคนคลิกเข้ามาที่บล็อกนั้น
Facebook Marketplace
Facebook.com จัดเป็นเว็บไซต์ในแบบ Social Network ที่มีสมาชิกล้นหลามแห่งหนึ่ง ผู้ที่อยู่ในสังคมแห่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ สื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษเป็นหลัก ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่อยู่ในมหาวิทยาลัยและคนทำงาน โดยชุมชนแห่งนี้จะมีแอพพลิเคชั่นให้เลือกเล่นอยู่มากมาย อีกทั้งยังมีส่วนที่เรียกว่า Marketplace เอาไว้ให้สมาชิกได้เข้ามาโพสต์สินค้าขายของกันได้ด้วย
สินค้าที่อยู่บน Marketplace ของ Facebook นั้น มีทั้งการประกาศขาย (For Sale) และการประกาศหาสิ่งที่ตัวเองสนใจ (Wanted) โดยมีตั้งแต่ หนังสือ บ้านพักอาศัย อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ทั้งที่ให้เช่าและขาย อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ไอที เฟอร์นิเจอร์ รถยนต์ ตั๋ว และมีแม้กระทั่งตำแหน่งงานที่น่าสนใจ
การจะเข้าไปใช้บริการใน Marketplace ก่อนอื่นคุณจะต้องเป็นสมาชิกของ Facebook.com ก่อน แล้วก็เข้าไปใส่ข้อมูลเอาไว้เพื่อให้รู้ว่าตัวเองมีตัวตน จากนั้นก็เข้าไปเพิ่ม Marketplace Application เข้าไป (แอพพลิเคชั่นนี้อาจจะถูกติดตั้งไว้ให้กับสมาชิกตั้งแต่ทำการสมัคร แต่ถ้าคุณสมัครแล้วไม่มีแอพพลิเคชั่นนี้ในรายชื่อแอพพลิเคชั่นของคุณก็สามารถเข้าไปเพิ่มได้) จากนั้นก็ต้องเข้าไปเลือกเครือข่าย (Join a network) ที่คุณสนใจสักแห่งหนึ่ง โดยจะแยกเครือข่ายออกเป็น 4 ประเภท คือ สถานที่ทำงาน (Workplace), ประเทศ (Region), โรงเรียนมัธยม (High School) และ สถานศึกษาในระดับอุดมศึกษา (College) ถึงจะสามารถเริ่มลงมือโพสต์สินค้าของตัวเองได้
แต่การเข้าไปโพสต์สินค้าที่จะขายหรือที่ต้องการซื้อนั้นก็มีเงื่อนไขว่า คุณจะต้องไม่ใช้ Marketplace เพื่อทำการโฆษณาธุรกิจหรือบริการของตัวเอง มิเช่นนั้น Account อาจจะถูกระงับการใช้งานได้ (Do not use Marketplace to advertise businesses or services or your account may be terminated.)
ดังนั้นการโพสต์สินค้าที่ต้องการที่จะขาย จึงต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยอาจจะต้องโพสต์ทีละชิ้น แต่โพสต์หลายๆ ครั้ง และต้องบอกข้อมูลที่เป็นความจริง ไม่หลอกลวง มีรายละเอียดต่างๆ ให้ชัดเจน และต้องระมัดระวังไม่ให้เป็นการโฆษณามากเกินไป เรียกได้ว่าต้องใช้กลยุทธ์ทางการขายแบบตรงไปตรงมา โดยการทำรายการสิ่งที่คุณต้องการกับรายการสิ่งที่ต้องการขายนั้นจะแยกจากกัน
Bloggang ตลาดไทยเพื่อไทย
สำหรับ Social Network แห่งนี้ของคนไทย อนุญาตให้คุณสามารถเปิดหน้าร้านขายของได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าจะต้องเลือกให้เรื่องที่คุณต้องการขายสินค้านั้นไม่แสดงในหน้ารวมอื่นๆ นอกจากในบล็อก ของตัวเอง มิเช่นนั้นทางเว็บไซต์จะถือว่าคุณใช้พื้นที่ส่วนรวมไม่เหมาะสม และจะมีการพิจารณาระงับการใช้งาน
การเปิดหน้าร้านที่นี่มีจุดดีตรงที่มี Feed back ตอบกลับมาเร็ว แม้ว่าจะไม่สามารถให้เรื่องที่คุณต้องการเสนอขายสินค้าปรากฏอยู่ในหน้ารวมเมื่อมีการอัพเดตเรื่องใหม่ก็ตาม แต่คุณก็สามารถใส่เรื่องอื่นๆ เข้าไปเพื่อดึงคนเข้ามาที่บล็อกของคุณได้ อีกทั้งไม่จำเป็นต้องอัพเดตเรื่องใหม่บ่อยๆ คุณสามารถปล่อยเรื่องอัพเดตล่าสุดทิ้งเอาไว้สักระยะหนึ่งได้ ซึ่งก็ยังมีคนเข้ามาอ่านเรื่องของคุณอยู่เรื่อยๆ โดยคุณสามารถแยกส่วนขายสินค้าเอาไว้เป็นกลุ่มหนึ่งในบล็อกของคุณได้ หรือจะแฝงเข้าไปในหมวดอื่นๆ ในบล็อกที่คุณตั้งไว้ก็ได้เช่นกัน
การที่มี Feed back จากกลุ่มคนในสังคมที่คุณไปอยู่กลับมาเร็วนั้น ทำให้คุณทราบว่าเรื่องอะไรที่คนสนใจ เรื่องแบบไหนที่คนไม่สนใจเข้ามาดูมาอ่านเลย แต่การที่คุณมีเรื่องในบล็อกให้เลือกอ่านเป็นจำนวนมากก็จะช่วยเพิ่มช่องทางการศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายในสังคมนั้นๆ ได้เร็วขึ้น
โดยการตรวจวัดความสนใจ หรือตรวจดูว่าคนที่เข้ามาที่เว็บไซต์หรือบล็อกเรานั้นมาจากไหน ประเทศอะไรนั้นก็สามารถใช้ Statcounter เข้ามาช่วยได้ (โดยเข้าไปสมัครใช้งานได้ที่ Statcounter.com) จากนั้นก็นำ Code มาใส่ไว้ในหน้าเว็บไซต์หรือบล็อกของคุณได้ทันที ทีนี้คุณก็จะรู้แล้วใคร คนจากประเทศอะไรที่สนใจเว็บไซต์หรือบล็อกของคุณ เพื่อจะได้มาพัฒนาแผนการทำตลาดและโฆษณาต่อไป
สำหรับการขายสินค้า Social Network แหล่งใหญ่ที่อื่นๆ นั้น ไม่ได้มีการเปิดตลาดให้ขายสินค้ากันอย่างชัดเจนนัก (บางแห่งไม่สนับสนุนให้มีการโฆษณาหรือขายสินค้าใดๆ เลย) แต่ก็ยังใช้เป็นแหล่งสร้างโฆษณาเพื่อดึงดูดคนให้เข้ามายังหน้าร้านหลักได้ ซึ่งในคราวหน้าเราจะมาต่อกันที่ การเปิดร้านขายของกับ Marketplace ที่มีขนาดใหญ่ๆ และเป็นที่รู้จักกันต่อว่าจะมีวิธีเข้าไปหาทำเลสร้างหน้าร้านกันได้อย่างไร และมีเทคนิคอะไรบ้างที่จะทำให้ขายของบน Marketplace ใหญ่ๆ เหล่านี้ได้
Source: Ecommerce Magazine