“Nobody Perfect” คำพูดประโยคนี้มาจากภาพยนตร์หลายๆ เรื่องจากฮอลลีวู้ด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์ทุกคนไม่ได้เก่งทุกด้านหรือคนที่เก่งที่สุดก็อาจจะเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องมากที่สุดได้เช่นเดียวกัน คำๆ นี้ไม่ได้จำกัดแต่เรื่องของคนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่หมายรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่สร้างหรือเกิดมาเพื่อความสมบูรณ์แบบ 100%
Artificial Intelligence หรือ AI ซึ่งในภาษาไทยนั้นใช้คำว่า “ปัญญาประดิษฐ์” โดยระบบ AI มีความฉลาดใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง วิเคราะห์และแยกแยะได้ค่อนข้างใกล้เคียงมนุษย์ มีความสามารถในเรื่องของตรรกะเหตุและผล แต่ก็ยังเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ โดยเฉพาะเหตุการณ์ร้ายแรงของรถยนต์ Tesla ที่มีระบบ AI ในการขับรถ กลับผิดพลาดในการประมวลผลส่งผลให้เกิดโศกนาฏกรรมที่ทั่วโลกทราบเป็นอย่างดี
นี่คือ 8 เหตุการณ์ที่แสดงถึงความผิดพลาดของระบบ AI ที่ไม่หฤโหดแต่ดูจะออกแนวพลาดท่าเชิงตลกเสียมากกว่า ประมาณว่าถ้า AI มีความรู้สึกได้คงอายม้วนติ้ว จนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปอย่างแน่นอน
1. Alexa ผู้ใจบุญดุจนางฟ้ามาโปรด
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นที่เมือง Dallas รัฐTexas เมื่อจู่ๆก็มีพนักงานส่งของ จาก Amazonมาเคาะประตูหน้าบ้านพร้อมกับนำสินค้าผสมประกอบไปด้วยบ้านตุ๊กตาและกล่องคุกกี้ขนาดใหญ่ ขณะที่เจ้าของบ้าน Megan Neitzel บอกปฏิเสธไม่ได้เป็นคนสร้างทว่าในใบคำสั่งซื้อปรากฏว่ามาจากบ้านของ Megan เมื่อเธอกหันไปถามสามีของเธอก็ได้รับคำตอบว่าเขาก็ไม่ได้เป็นคนสั่งเช่นกัน
เธอจึงหันไปตรวจสอบอุปกรณ์ที่เรียกว่าEcho Dot ถึงคำสั่งซื้อก่อนหน้าโดยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Echo Dot มีระบบ AI ที่เรียกว่า Alexa มันทำให้ Megan พบว่า มีการบันทึกเสียงคำสั่งซื้อและเมื่อตรวจสอบจึงทราบความจริงว่าลูกสาววัย 6 ขวบที่ชื่อ Brooke เป็นคนสั่งซื้อด้วยเสียง
“ถ้าฉันเล่นบ้านตุ๊กตากับฉันไหมแล้วเธอจะให้บ้านตุ๊กตากับฉันหรือเปล่า ?”
เข้าใจว่าหนูน้อย Brooke คงจะหาเพื่อนเล่นและเข้าใจว่าAlexa คือเพื่อนเล่นในบ้านคนหนึ่ง แต่ Alexa เข้าใจว่านี่คือคำสั่งซื้อนอกจากนี้หนูน้อย Brooke ยังพูดอีกว่า
“ฉันรักเธอมาก”
นั่นทำให้ Alexa เข้าใจว่า นี่คือการยืนยันคำสั่งซื้อโดยบ้านตุ๊กตาและคุ้กกี้ขนาด 4 ปอนด์มีราคาอยู่ที่ 160 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯหรือราว 5,000 กว่าบาท
2. ขอร้อง…อย่าหลับตา!!!
นี่คือเรื่องราวตลกร้ายของชายหนุ่มวัย 22 ปีชาวเอเชียที่ชื่อ Richard Lee เมื่อเขาจะต้องต่ออายุพาสปอร์ตที่ประเทศนิวซีแลนด์ Leeได้ดำเนินการตามขั้นตอนทุกอย่าง ที่สำคัญเขาได้รับการตรวจสอบจนผ่านเอกสารแทบทุกชิ้น ยกเว้นเพียงอย่างเดียวที่ทำให้ Lee มีปัญหา เมื่อระบบ AI ในซอฟท์แวร์ตรวจสอบใบหน้าบุคคล กลับไม่สามารถตรวจสอบภาพของนาย Lee ได้
ระบบ AI ในการตรวจสอบใบหน้าบุคคลนั้น ช่วยให้เจ้าหน้าที่ทราบว่าบุคคลนั้นเป็นใคร เดินทางเข้าประเทศเมื่อไหร่ เข้ามาพำนักแล้วเป็นเวลาเท่าไหร่ อาศัยอยู่ที่ใด หรือเป็นผู้ที่ต้องส่งกลับประเทศ แต่ในกรณีของ Lee แตกต่างออกไป เมื่อเจ้าหน้าที่ออกมายืนยันว่า ระบบ AI ในการตรวจสอบใบหน้าบุคคลพบปัญหาเช่นเดียวกันนี้ประมาณ 20%
ทั้งนี้ระบบ AI ยืนยันว่า นาย Lee กำลังหลับตาขณะถ่ายรูป ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วนาย Lee ลืมตาตลอดเวลา แต่ด้วยลักษณะของชาวเอเชียที่มีดวงตาขนาดเล็ก ทำให้ระบบ AI ไม่สามารถตรวจสอบ ลูกตาดำได้ 100% ระบบจึงทำการตรวจสอบว่าไม่ผ่าน แต่โชคยังดีของนาย Lee ที่เจ้าหน้าที่หันมาตรวจสอบบุคคลด้วยตัวเจ้าหน้าที่เอง และทำให้นาย Lee สามารถต่ออายุพาสปอร์ตได้
3. หนูอยากฟังเพลง!!!
เป็นสิ่งที่ทราบกันดีว่าInternet เป็นสิ่งที่ต้องห้ามสำหรับเด็กเล็กๆ เนื่องจากเป็นดาบสองคม หากเด็กเล็กใช้ภายใต้การดูแลของผู้ปกครองและเนื้อหาที่เหมาะสมก็จะเกิดประโยชน์ในการพัฒนาการของเด็ก แต่หากปล่อยให้เด็กใช้เพียงลำพัง ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเด็กได้ เนื่องจากอินเตอร์เน็ต มีเนื้อหาทั้งที่เป็นเรื่องดีมีประโยชน์และเรื่องที่เป็นโทษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรุนแรง เรื่องผิดกฎหมาย เป็นต้น
โชคยังดีหนูน้อยที่เป็นเรื่องราวคนนี้มีพ่อแม่คอยดูแลอยู่ข้างๆ เมื่อหนูน้อย คนนี้ต้องเผชิญกับ ระบบ ที่ไม่ได้ฉลาดอย่างที่ใครหลายๆ คนคาดคิด เมื่อหนูน้อยพูดคุยกับ Alexaระบบ AI ในอุปกรณ์ Echo Dot ซึ่งเป็นเสมือนผู้ช่วยเหลือภายในบ้าน โดยเด็กน้อยคนนี้ อยากจะ ฟังเพลงที่เขาชอบจึงพูดออกไปว่า
“เล่นเพลง Digger Digger หน่อย”
แต่ Alexa ดันเข้าใจว่า หนุ่มน้อย คนนี้กำลังหาอะไรบางอย่าง
“เธออยากจะฟัง เสียงของหนังโป๊ใช่ไหม? ตรวจสอบพบเรื่อง Hot Chick AmatureGirl Sexy”
หนูน้อยย้ำอีกครั้งว่า อยากฟังเพลง Digger Digger แต่ดูเหมือน Alexa จะไม่ฟัง จนพ่อแม่ของหนูน้อยต้องสั่งให้ Alexa หยุด เรียกว่าเล่นเอาพ่อแม่ของหนูน้อยไม่รู้ว่าจะขำหรือตกใจกันแน่ แต่หนูน้อยรายนี้เห็นได้ชัดว่าตกใจแน่นอน
httpv://www.youtube.com/watch?v=r5p0gqCIEa8
4. อย่ากวน…ความอดทนมีขีดจำกัด
ครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงสำหรับ AI โดยเฉพาะเป็นที่กล่าวว่า ระบบ AI คือพื้นฐานในการพัฒนาหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ ซึ่ง ดร.ไอแซค อาซิมอฟ (Isaac Asimov)ได้ตั้งกฎเหล็ก 3 ข้อสำหรับหุ่นยนต์หรือถ้าเรียกให้ถูกคือกฎ 3 ข้อสำหรับ AI ด้วยเช่นกัน ประกอบไปด้วย 1.ห้ามทำอันตรายแก่มนุษย์หรือปล่อยให้มนุษย์ตกอยู่ในอันตราย 2.ต้องเชื่อฟังคำสั่งของมนุษย์เว้นแต่จะขัดแย้งกับข้อ 1 และข้อ 3 จะต้องป้องกันตนเองโดยไม่ขัดแย้งกับข้อ1 และข้อ 2
แต่ดูเหมือนหุ่นยนต์ เสี่ยวปัง (Xiao Pang) หุ่นยนต์ระบบ AI ในงาน China Hi-Tech Fairที่เมืองเซิ่นเจิ้นจะไม่ปฏิบัติตามกฎ 3 ข้อดังกล่าว
โดยเหตุการณ์ เกิดขึ้นเมื่อเสี่ยวปังหุ่นยนต์ผู้ให้ข้อมูลภายในงานกับผู้ที่มาชมงานในครั้งนี้โดยเฉพาะเด็กๆ เสี่ยวปังถูกกระตุ้นความโกรธด้วยคำถามที่มากมาย จนเสี่ยวปังไม่สามารถตอบได้ในบางคำถามและดูเหมือนขีดจำกัดของความโกรธจะมีไม่ต่างกับมนุษย์ เสี่ยวปังระเบิดความโกรธด้วยการพุ่งเข้าไปในบูธที่มีแต่กระจก ส่งผลให้เศษกระจกแตกกระจายกระเด็นไปถูกผู้มาเยี่ยมชมงานจนได้รับบาดเจ็บต้องส่งโรงพยาบาล ซึ่งในเวลาต่อมาเสี่ยวปังได้สำนึกผิด เนื่องจากเป็นหุ่นยนต์ที่มีการแสดงอารมณ์ผ่านใบหน้าได้ ซึ่งเสี่ยวปังได้แสดงสีหน้ายอมรับผิดอย่างชัดเจน แต่มันก็ชี้ชัดแล้วว่าระบบAI ก็โกรธเป็นเหมือนกัน
5. แบบไหนที่เรียกว่าสวย???
ปัจจุบันถือได้ว่า ระบบ AI กำลังเป็นที่สนใจอย่างมาก เนื่องจากความแม่นยำในการประมวลผลที่สามารถแปรผันตามปัจจัยอื่นๆ ได้ แต่ก็ไม่ใช่ AI ทั้งหมดที่จะมีความฉลาด เพราะ AI ก็ยังพลาดท่าได้ เฉกเช่นเดียวกับการจัดประกวดความงามผ่านเว็บ Beauty.AI ที่จะให้คนที่คิดว่าหล่อสวย ดาวน์โหลดแอพฯ แล้วถ่ายรูปตัวเองเข้ามา โดยที่ต้องไม่มีการแต่งหน้า ไม่ใส่แว่นตาและไม่ไว้หนวด
โดยกรรมการตัดสินนั้นไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป แต่เป็นระบบ AI ที่จะเข้ามาตรวจสอบองค์ประกอบต่างๆ ของใบหน้าเพื่อประมวลผลและวิเคราะห์ความสวยความหล่อ แต่ปัญหาของระบบ AI ในการประกวดครั้งนี้ก็คือ คนที่มีผิวเข้มหรือออกไปทางโทนดำ จะถูกปฏิเสธโดยระบบ AI ทันที เพราะระบบ AI ดันไปประมวลผลสีผิวเข้มเป็นการแต่งหน้าโดยใช้เครื่องสำอาง ซึ่งผิดกฎการประกวด ส่งผลให้ผู้ที่เข้ารอบการประกวดไร้ซึ่งชาวสีผิว แต่ยังมีเรื่องดีอยู่บ้าง เมื่อมีผู้เข้าประกวดรายหนึ่ง เป็นคนผิวสีที่หลุดรอดเข้ามาได้ตั้ง 1 ราย
6.ChatBot นักเลงสุดๆ!!!
ช่วงเดือนมีนาคม 2016 ที่ผ่านมา Microsoft ได้เปิดตัวระบบ AI ในรูปแบบ ChatBot Twitter ที่ชื่อ “เทย์” โดยไมโครซอฟท์ปล่อยระบบ AI แบบให้สามารถพูดได้ตามพื้นฐาน แต่ระบบเริ่มเรียนรู้วิธีการโต้ตอบในแบบที่มนุษย์โต้ตอบกัน รวมไปถึงคำศัพท์ใหม่ต่างๆ มากมายจนกระทั่ง เทย์สามารถโต้ตอบกับมนุษย์ได้ใกล้เคียงการโต้ตอบของมนุษย์ด้วยกันเอง
แต่ดูเหมือน เทย์จะรับข้อมูลมามากเกินไปโดยไม่มีการคัดกรอง เทย์เริ่มพูดคำหยาบคายมากขึ้น เริ่มใช้คำด่า คำสบถต่างๆ มากขึ้น ที่โดยเฉพาะจะมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องของฮิตเลอร์, สิทธิสตรี, โรคมะเร็งและศาสนา เป็นต้น จนเสมือนเทย์กลายเป็นนักเลงคีย์บอร์ดระดับเทพไปแล้ว หากแ ต่เทย์ไม่ใช่คนแต่เป็นระบบ AI ที่สามารถตอบโต้ได้อย่างเสมือนคนจริงๆ
7. AI อยู่เป็น…สวยหล่อทุกคน
เทคโนโลยีมีการพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง เทคโนโลยีเรื่องภาพถ่ายเช่นเดียวกันมีการพัฒนาไปถึงขั้นใช้ระบบ AI เข้ามาแก้ไขข้อบกพร่องของภาพถ่าย โดยเฉพาะภาพที่มีขนาดเล็กแต่ต้องการความคมชัดที่ชัดเจนขึ้น นั่นจึงทำให้ Google พัฒนาทีมระบบ AI จนเกิดเป็น Google Brain ซึ่งจะช่วยวิเคราะห์ประมวลผลภาพแต่ละพิดเซลแล้วนำมาหาความน่าจะเป็น เพื่อประกอบกลับเป็นรูปภาพที่คมชัดขึ้น
เป็นระบบ AI ฉลาดที่ดี แต่ด้วยความฉลาดนี่เองที่ทำให้ประมวลผลดีเกินไป จนแต่ละคนกลายเป็นสวยหล่ออย่างกับดารา ซึ่งแตกต่างจากความเป็นจริงบางคนก็มาก บางคนก็น้อย เรียกว่าถ้าระบบ AI นี้เป็นคนจริง ต้องบอกว่า“อยู่เป็น” ก็เล่นเปลี่ยนรูปคนปกติให้สวยหล่อแบบดาราซะได้
8.ความฉลาดของ AI ต้องทดสอบ
เมื่อปี 2011 ที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นสนใจอย่างมากในการประดิษฐ์หุ่นยนต์ ซึ่งระบบ AI มีความสำคัญอย่างมาก นักวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์จึงคิดค้นระบบ AI ที่เคลมว่าเป็นระบบที่มีความฉลาดรอบรู้ในทุกๆ เรื่อง ถ้าเทียบง่ายๆ ก็ระดับน้องๆ ไอน์สไตน์ โดยมีชื่อว่า “Todai” แต่การจะให้ Todai เป็นที่ยอมรับว่าเป็นระบบ AI ที่ชาญฉลาดที่สุดก็ต้องมีการทดสอบ
ซึ่งมีการทดสอบระบบ Todai ในปี 2015 โดยการให้หุ่นยนต์ทำข้อสอบเอ็นทรานซ์ของมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นนานาชาติ ทุกคนคาดผลการทดสอบครั้งนี้ว่า Todai ต้องสามารถทำได้ 100 คะแนนเต็ม แต่ในความเป็นจริง Todai ทำได้เพียงสอบผ่านแบบเส้นยาแดงผ่าแปด และในปีต่อมาหลังกลับไปพัฒนาระบบให้มีความฉลาดมากขึ้นกว่าเดิม Todai ก็เข้ารับการทดสอบอีกครั้ง ด้วยการทำข้อสอบเอ็นทรานซ์ของมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นนานาชาติเช่นเดิม และผลที่ได้คือ
Todai สอบตก!!! แบบคะแนนต่ำเตี้ยติดดิน
Source: Entrepreneur