Generative AI กลายเป็นสิ่งที่มีศักยภาพอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงการทำการตลาดในยุคนี้ให้ง่ายมากขึ้น ไม่ว่าจะช่วยในการทำการวางแผนการตลาด ช่วยทำคอนเทนท์จนถึงการช่วยทำ Personalisation และการช่วยสร้าง Customer Experience ที่ดีขึ้นผ่านการปฏิสัมพันธ์ต่าง ๆ ขึ้นมาได้
การปฏิวัติ AI นั้นเริ่มต้นจากการที่ให้ AI นั้นมาช่วยทำงานที่ซ้ำซากหรืองานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ขึ้นมา ด้วยการพัฒนา AI ที่เกิดขึ้น ในการที่สามารถทำให้ AI นั้นเรียนรู้ คิดและสามารถวิเคราะห์ออกมาได้ ทำให้ AI สามารถทำงานต่าง ๆ ได้มากขึ้นในปัจจุบันและกลายเป็นว่าในทุกวันนี้ AI เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างมาก และสามารถเข้ามาช่วยงานได้หลายมากมายขึ้น ไม่ใช่แค่ทำงานที่ซ้ำซากหรืองานที่ต้องซ้ำอีกต่อไป แต่เป็นงานที่ต้องคิดใหม่ ต้องการความสร้างสรรค์และแถมยังสามารถแนะนำนักการตลาดได้ด้วยว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
ซึ่งการพัฒนาของ AI นี้ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ Generative AI ทำให้นักการตลาดสามารถทำงานได้ดีเพิ่มมากขึ้น มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น และทำให้ AI เป็นเครื่องมือที่เปลี่ยนแปลงวิธีในการทำธุรกิจไปเลย ไม่ว่าจะช่วยคิด Content จนช่วยทำการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย หรือช่วยทำ Personalise ต่าง ๆ และ Product Recommendation ได้ ซึ่งในบทความนี้จะพาไปดู Case Study จากต่างประเทศ ว่านักการตลาดนำ Generative AI มาช่วยทำให้การตลาดนั้นเร็วมากขึ้น ฉลาดมากขึ้น และมีความคิดสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น
1. Generative AI สำหรับการทำ Product Description ใน E-Commerce : การทำ Product Description ที่ดีใน E-commerce นั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมาก เพราะต้องมีความสมดุลระหว่างทำให้ปฏิสัมพันธ์ได้ การเปลี่ยนให้กลุ่มเป้าหมายซื้อได้และทำให้ติด SEO ซึ่งด้วยปัญหานี้ทำให้ Shopify สร้างเครื่องมือที่เรียกว่า Shopify Magic ที่จะมาช่วยเขียน Product Description ให้อย่างอัตโนมัติ ด้วยการใส่ Keyword ที่ต้องการและ tones ของเนื้อหาที่อยากได้ ด้วยการมีเครื่องมือทำให้คนที่ทำ E-commerce บน Platform สามารถใช้เครื่องมือนี้ช่วยทำเนื้อหาและเพิ่มยอดขายให้ Platform ได้ทันที
2. Generative AI สำหรับ engagement กับ QR code แบบ Digital Art : ด้วยการที่ AI สามารถเรียนรู้ข้อมูลและสร้างสรรค์งานใหม่ ๆ ออกมาจากข้อมูลที่เรียนรู้นั้น ทำให้การสร้าง Digital Art ช่วยทำให้คนทำงาน art ย่นระยะเวลาในการออกแบบไปเยอะมาก และด้วยเครื่องมือนี้สามารถนำมาใช้กับการที่แบรนด์จะปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายด้วยการให้ QR codes ในรูปแบบ Digital art ขึ้นมาเพื่อให้เกิดความน่าสนใจ นอกจาก QR code ปกติที่น่าเบื่อและไม่สามารถสื่อถึงแบรนด์ได้เลย
3. Generative AI สำหรับ Omnichannel Engagement : นอกจากจะใช้ Generative AI ในการทำ QR code แบบDigital Art ขึ้นมา การเอา Generative AI มาใช้ในการทำ Omnichannel Engagement แบบอื่น ๆ ก็เริ่มมีความนิยมในต่างประเทศเช่นกัน โดยเฉพาะการทำ AR หรือ augmented reality ผ่านทั้งหน้าร้าน ออนไลน์ และบริการหลังการขาย ซึ่งตอนนี้สามารถสร้าง webAR บนเว็บโดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องโหลดแอพเพื่อมามองเนื้อหาแล้ว ทำให้การทำงานนั้นง่ายขึ้นอย่างมาก
4. Generative AI สำหรับ การทำ Customer Persona : สิ่งหนึ่งที่ AI ทำงานได้ดีกว่ามนุษย์คือการเรียนรู้ข้อมูลปริมาณจำนวนมากมายในระยะเวลาไม่นาน ทำให้เราสามารถใช้ Generative AI นี้มาเรียนรู้ purchase history, interests และ data อื่นๆ ขึ้นมา และให้ Generative AI นี้สร้างข้อมูล Customer Persona ต่าง ๆ ขึ้นมาว่า แบรนด์มี Customer Persona กี่แบบบ้างและแต่ละแบบต้องจัดการอย่างไรเพื่อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์หรือ Conversion Rate มากที่สุด
5. Generative AI สำหรับ การทำ Customer Journey : จากการที่ AI ที่เรียนรู้ได้ดี เราสามารถประยุกต์จากข้อมูลลูกค้าที่ AI ที่เรียนรู้นั้นมาสร้าง customer journey storyboard ได้อย่างง่ายมากเพื่อที่จะทำให้เข้าใจว่า customer journey ที่เกิดขึ้นนนั้นจะมีภาพ หรือความรู้สึกได้อย่างไรผ่านภาพขึ้นมา ซึ่งจะทำให้คนทำงานทั้งหมดนั้นเห็นภาพตรงกันว่า customer journey ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร
6. Generative AI สำหรับ Brand Marketing : เครื่องมือ AI นั้นสามารถช่วยในการทำการตลาดได้ดีมาก โดยเฉพาะการมาช่วยทำ Brand Marketing ต่าง ๆ ที่ต้องการการตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ต่าง ๆ ว่าจะให้ภาพลักษณ์ตรงกันในที่ต่าง ๆ ได้อย่างไร เช่นการแสดงของ Logo, สี และ Element ของแบรนด์ต่าง ๆ นักการตลาดในต่างประเทศ ใช้เครื่องมือนี้ในการออกแบบBrand Marketing ว่าจะเข้าไปอยู่ในที่ต่าง ๆ ได้อย่างไร ผ่านการใช้ AI แบบ generative AI art มาช่วยออกแบบแบบต่าง ๆ ขึ้นมาได้
