ผู้บริหารควรอ่าน! IBM เปิด 5 เทรนด์ธุรกิจ-เทคฯ 2024 เพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้องค์กร พร้อมแนะนำสิ่งที่ควรทำเพื่อเตรียมความพร้อม

  • 174
  •  
  •  
  •  
  •  

ในช่วงปลายปีแบบนี้คำถามที่คนในแวดวงธุรกิจจะถามกันเสมอก็คือเทรนด์ธุรกิจและเทคโนโลยีในปี 2024 นี้คืออะไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นปีที่เชื่อมต่อมาจากปี 2023 ที่ได้ชื่อว่าเป็นปีแห่ง Gen AI ที่ว่ากันว่าจะมาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตผู้คนไปอีกมากมาย

คนที่จะสามารถมองเทรนด์แห่งอนาคตได้ออกและแม่นยำมากที่สุดย่อมเป็นคนที่อยู่ในองค์กรที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนานและองค์กรนั้นก็คือ IBM บริษัทที่อยู่ในแวดวงเทคโนโลยีมายาวนานกว่า 100 ปี ซึ่งล่าสุดคุณคุณ “สวัสดิ์ อัศดารณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด” ก็ได้มาเล่าถึงมุมมองของ IBM ที่มีต่อเทรนด์ธุรกิจและเทคโยโลยีในปี 2024 เอาไว้อย่างน่าสนใจ 5 เทรนด์ด้วยกัน

คุณสวัสดิ์ อัศดารณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด

1. จาก “Plus AI” สู่ “AI Plus”

คุณสวัสดิ์เล่าว่าปัจจุบันในแวดวงธุรกิจมีการนำ Gen AI เข้ามาใช้ในลักษณะของการเอามาเสริมระบบหรือกระบวนการทำงานในภายหลังหรือที่เรียกว่า Plus AI แต่ในปี 2024 นี้จะมีเทรนด์ที่เรียกว่า “AI Plus” ที่หมายถึงการออกแบบที่วาง AI เป็นแกนหลักตั้งแต่ต้นนั่นเอง

คุณสวัสดิ์ยกผลสำรวจซีอีโอจำนวนมากของ PwC ที่พบว่าแม้กลุ่มตัวอย่างซีอีโอ 3 ใน 4 จะมองว่าความได้เปรียบในการแข่งขันขึ้นอยู่กับว่าใครมี Gen AI ที่ก้าวล้ำที่สุด แต่องค์กรกว่า 60% ก็ยอมรับว่ายังไม่ได้มีการพัฒนาแนวทางด้าน Gen AI ที่สามารถทำงานได้เต็มศักยภาพอย่างสม่ำเสมอ หรือขยายการใช้งานได้ทั่วทั้งองค์กร สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำสู่ก้าวย่าง AI Plus และระบบ AI ที่เชื่อถือได้

อย่างไรก็ตามงานวิจัยโดย IBV (IBM Institute for Business) ยังพบด้วยว่ากลุ่มตัวอย่างซีอีโอ 2 ใน 3 กำลังเดินหน้าโดยไม่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนว่าจะช่วยเหลือพนักงานของตนอย่างไร เมื่อ AI เข้ามาพลิกโฉมและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยมีซีอีโอไม่ถึง 1 ใน 3 ที่เคยประเมินถึงผลกระทบที่ Gen AI อาจมีต่อพนักงานของตน ดังนั้นการกำหนดวิสัยทัศน์และพิจารณาถึงผลกระทบที่มีต่อพนังงานในองค์กรก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นองค์กรที่นำ AI มาใช้งานก็ยังมี Productivity เหนือกว่าองค์กรอื่นอย่างต่อเนื่องไม่มีอะไรหยุดยั้ง Gen AI ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการชะลอตัวในปี 2024 นี้ เพราะจากผลสำรวจพบด้วยว่าผู้นำองค์กร 72% ระบุว่าเต็มใจยอมสละประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้ Gen AI เนื่องจากข้อกังวลด้านจริยธรรม และ 69% คาดว่าการนำ Gen AI มาใช้จะนำสู่การจ่ายค่าปรับตามกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆที่จะเกิดตามมาได้

สำหรับคำแนะนำจาก IBM คุณสวัสดิ์ ระบุว่า องค์กรต้องมีผู้รับผิดชอบการจัดการและกำกับดูแล AI เช่นการกำหนดตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายจริยธรรม AI ที่มีหน้าที่สนับสนุนการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบโดยเฉพาะ ที่จะเข้ามาเป็นผู้ให้คำแนะนำและใช้อำนาจยับยั้ง รวมถึงทำให้เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้และเชื่อถือได้ โดยผนวกจริยธรรมตลอดวงจรการพัฒนา AI

นอกจากนี้ องค์กรต้องเพิ่มพูนทักษะด้าน AI ให้บุคลากรนอกแผนกไอที องค์กรควรให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ทักษะใหม่และต่อยอดทักษะเดิม โดยเน้นความคิดสร้างสรรค์และทักษะด้านคน ลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงเพื่อรองรับข้อมูล ส่งเสริมให้เกิดความโปร่งใสและการเรียนรู้เกี่ยวกับ AI ทั่วทั้งองค์กร

และสุดท้ายองค์กรต้องวางแนวทางที่ชัดเจนในการกำกับดูแล AI องค์กรควรบูรณาการการกำกับดูแล AI (AI governance) เข้ากับโมเดลธุรกิจหลักขององค์กร เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถอธิบายที่มาของการให้คำแนะนำของ AI ได้ (explainability) โดยที่ระบบ AI ปราศจากอคติและเชื่อถือได้ องค์กรควรให้ความรู้กับพนักงานในเรื่องดังกล่าว ขณะเดียวกันลูกค้าและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องสามารถรับรู้ได้ว่าเมื่อใดกำลังปฏิสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ที่ใช้ AI เข้ามาเป็นตัวช่วยอยู่

2. มนุษย์ผู้ใช้ AI จะมาแทนที่มนุษย์ที่ไม่ใช้ AI

คุณสวัสดิ์ เล่าถึงแนวโน้มนี้เน้นย้ำว่า ในปี 2024 นี้ Gen AI จะส่งผลกระทบต่อแทบทุกตำแหน่งและทุกระดับงานในองค์กร โดยอ้างอิงจากผลสำรวจที่พบว่า 77% ของคนทำงานระดับเริ่มต้นจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของบทบาทงานของตนภายในอีก 2 ปีข้างหน้านี้ ในส่วนของผู้บริหารมากกว่า 25% ก็มองเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ และคาดว่ายิ่ง Gen AI เติบโต จำนวนของตำแหน่งและผู้ที่จะได้รับผลกระทบจาก AI ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นในทุกระดับงาน ตัวอย่างเช่น ภายใน 5 ปี ผู้นำหน่วยงานภาครัฐส่วนใหญ่คาดว่าจะต้องใช้จ่ายในงานด้าน AI และระบบออโตเมชัน มากกว่าในการจ้างบุคลากร

และแน่นอนว่าการที่จะนำ Gen AI มาใช้ในการทำงานได้ทีมงานก็จำเป็นต้องเปิดรับเครื่องมือและแอปพลิเคชั่นใหม่ๆอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลา 3 ปีข้างหน้า โดยทักษะที่ผู้นำมองว่าจะมีคุณค่ามากที่สุดภายในปี 2525 นี้ก็คือ ความริเริ่มสร้างสรรค์ ตามมาด้วยการตัดสินใจที่ละเอียดลึกซึ้ง และความเข้าใจผู้อื่น และที่สำคัญที่สุดซีอีโอ 87% ที่มองว่า Gen AI จะเข้ามาสนับสนุนส่งเสริมการทำงานของพนักงานมากกว่าที่จะมาแทนที่

ข้อแนะนำจาก IBM คุณสวัสดิ์ แนะนำผู้บริหารองค์กรให้มองการเรียนรู้ทักษะ Gen AI เป็นโอกาสสู่ความก้าวหน้า ให้ลองกำหนดยุทธศาสตร์การเรียนรู้ทักษะอย่างยืดหยุ่น โดยอาศัยข้อมูลจากฝ่ายทรัพยากรบุคคล ฝ่ายไอที และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักรายอื่นๆ กำหนดกรอบการเรียนรู้สำหรับงานระดับสูงที่ดำเนินการโดยคน และภาระงานซ้ำๆ ที่ใช้ Bot ดำเนินการแทนได้ โดยระบุทักษะหลักที่สอดคล้องกับแต่ละงาน จากนั้นใช้ Gen AI ช่วยออกแบบเส้นทางการเรียนรู้จากแค็ตตาล็อกการฝึกอบรมภายในและแหล่งข้อมูลภายนอก

คุณสวัสดิ์แนะนำให้ผู้บริหารองค์กรกำหนดนิยามการดำเนินธุรกิจใหม่ ผ่านมุมมองที่ให้ความสำคัญกับคน โดยมี AI ทำหน้าที่สนับสนุนใช้เทคโนโลยีเพื่อวิเคราะห์กระบวนการทำงาน และระบุจุดที่ขาดประสิทธิภาพหรือเป็นปัญหาคอขวด จากนั้นจึงใช้ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้เพื่อทบทวนการปฏิบัติงาน ว่าจุดไหนควรนำพนักงานดิจิทัลมาช่วย โดยที่มนุษย์ยังคงอยู่ในวงจรการตัดสินใจ

และที่สำคัญก็คือต้องให้ทีมงานมีส่วนร่วมในการให้คำแนะนำว่างานใดที่สามารถทำงานแบบ Automate ได้ใช้ประโยชน์จากช่องทางดิจิทัลของฝ่าย HR ไม่ใช่แค่เพื่อให้พนักงานได้แสดงความคิดเห็น แต่สร้างระบบที่พวกเขาสามารถร่วมออกแบบการเปลี่ยนแปลงในที่ทำงานได้ พัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ที่สะดวกใจที่จะทำงานในสภาพแวดล้อมที่มนุษย์และ AI ทำงานร่วมกัน

3. Data ไม่ใช่งานของ IT เพียงอย่างเดียว

การให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้บริหารต้องหันมาสนใจให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้คุณสวัสดิ์ ระบุว่านอกจากการปกป้องข้อมูลไม่ให้ถูกขโมยแล้ว ทุกวันนี้ต้องเพิ่ม เพิ่มเติมการปกป้องข้อมูลจากการถูกปนเปื้อนระหว่างที่ข้อมูลเคลื่อนย้ายเข้า ออก และผ่านองค์กรด้วย โดยคุณสวัสดิ์เน้นย้ำว่าเรื่องนี้มีเดิมพันสูง เพราะองค์กรที่สามารถสร้างรายได้จากคลังข้อมูลขนาดใหญ่ที่คุณภาพสูงและเชื่อถือได้จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) จากการนำ AI มาใช้มากกว่าองค์กรอื่นเกือบ 2 เท่า (ROI 9% เทียบกับ 4.8%) เลยทีเดียว

ดังนั้นในปี 2024 ข้อมูลจะไม่ได้เป็นเพียงข้อกังวลด้านเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่เป็นความจำเป็นทางธุรกิจที่สำคัญต่อยุทธศาสตร์องค์กรอย่างมาก  ซึ่งจากกลุ่มตัวอย่างซีอีโอที่ทำสำรวจมีสัดส่วน 61% มองว่าความกังวลเกี่ยวกับต้นกำเนิดและแหล่งที่มาของข้อมูลจะเป็นอุปสรรคต่อการนำ Gen AI มาใช้ 57% มองว่าการรักษาความปลอดภัยข้อมูลจะเป็นอุปสรรคเช่นกัน ขณะที่ 45% พุ่งเป้าไปที่ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล

ไม่น่าแปลกใจที่งบประมาณด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในปี 2022 ที่ผ่านมาจะเพิ่มขึ้นจากปี 2021 ถึง 51% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 43% ในปี 2024 ดังนั้นองค์กรควรมองว่าการรักษาความปลอดภัยเป็นตัวสร้างความแตกต่างทางกลยุทธ์ที่สำคัญ หากต้องการสร้างมูลค่าจากข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

คุณสวัสดิ์เสนอแนะสิ่งที่องค์กรควรทำเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับข้อมูล (Data) เอาไว้ว่า องค์กรควรทำให้ระบบ zero trust และข้อมูลที่เชื่อถือได้กลายเป็นจุดต่างสำคัญของตน โดยมุ่งเน้นความโปร่งใสและความถูกต้องเชื่อถือได้เพื่อลดความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงอคติ

ให้ความไว้วางใจเป็นจุดเริ่มต้นของการสนทนาทุกครั้ง

เสริมสร้างขีดความสามารถด้าน Cyber Security เพื่อสร้างความไว้วางใจ รวมถึงปกป้องธุรกิจและสัมพันธภาพที่มีกับทุกฝ่าย มุ่งเน้นการตรวจสอบและจัดการกับจุดที่มีผลต่อการสร้างหรือทำลายความไว้วางใจ

และสุดท้ายคือการ คาดการณ์ล่วงหน้าเพื่อขัดขวางภัยคุกคามทางไซเบอร์ ระบุอุปสรรคระหว่างองค์กรและคู่ค้า โดยมุ่งเน้นที่ขั้นตอนและการกำกับดูแลที่จำกัดการตัดสินใจและการสร้างคุณค่า หรือบั่นทอนความไว้วางใจ ยึดเรื่องการรักษาความปลอดภัยเป็นเกณฑ์หลักเมื่อต้องตรวจสอบคู่ค้าหรือยุทธศาสตร์ของคู่ค้า

4. Risk Management จะพัฒนาขึ้นด้วย Gen AI

คุณสวัสดิ์ ระบุว่าหลายสิบปีที่ผ่านมาบรรดาผู้นำองค์กรและผู้บริหารระดับสูงพูดถึงความสามารถในการรับรู้และตอบสนองเพื่อบรรเทาผลกระทบจากความเสี่ยงและ Disruption ต่างๆ แต่เทคโนโลยีที่จะมาทำหน้าที่เหล่านี้นั้นยังคงมีความล้าหลังอยู่มาก

ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือการสร้างโมเดลการทำงานที่ยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ซึ่งจากผลสำรวจ ผู้บริหาร 81% มองว่าความสามารถในการคาดการณ์ของ Gen AI จะช่วยให้ตรวจพบปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และ 77% มองว่า Gen AI ช่วยระบุความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และสภาพภูมิอากาศได้อย่างแม่นยำ ซึ่งช่วยให้สามารถบรรเทาผลกระทบได้อย่างรวดเร็วในเชิงรุก ดังนั้นแดชบอร์ดที่อาศัยความสามารถของ Gen AI จะก้าวล้ำยิ่งขึ้นในปี 2567 ช่วยให้เห็นภาพกว้างและตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้

คุณสวัสดิ์แนะนำว่า จากเทรนด์ที่ว่านี้ทำให้องค์กรต้องทำให้โมเดลการทำงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ตั้งแต่การทดสอบกระบวนการและขั้นตอนการปฏิบัติงานกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

องค์กรควรทำงานร่วมกับ Partner ธุรกิจเพื่อแจกแจงบทบาทหน้าที่ กระบวนการตัดสินใจ และความรับผิดชอบก่อนเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง โดยใช้โมเดลที่ขับเคลื่อนด้วย Data รวมถึงเครื่องมือ AI เพื่อวางแผนสถานการณ์จำลองและจัดการความเสี่ยง

จัดการกับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงด้วยแนวทางที่จะสร้างโอกาสเพื่ออนาคตที่ดีกว่าหันมาใช้ทีมข้ามสายงานที่คล่องตัวเพื่อการคิด ทดสอบ และทำซ้ำอย่างรวดเร็ว เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม โดยขยายผลความสำเร็จด้วยการผสานนวัตกรรมนั้นเข้ากับกระบวนการทางธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ด้านข้อมูลและ AI รวมไปถึงกำหนดวิธีใหม่ๆ สำหรับบรรเทาเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงในอนาคต

ทบทวนแนวทางเพื่อสร้างความต่อเนื่องทางธุรกิจ และจัดการกับส่วนที่ล้าสมัย สอดส่องอุปสรรคด้านโครงสร้าง องค์กร และวัฒนธรรม ก่อนที่เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงจะเกิดขึ้นในอนาคต

5. Ecosystem ทางธุรกิจคือ “กลยุทธ์”

เทรนด์ที่ 5 ที่ IBM มองว่าจะเกิดขึ้นในปี 2024 ก็คือ Ecosystem ทางธุรกิจ ที่ต่อไปจะไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางธุรกิจเท่านั้นแต่จะต้องเป็นกลยุทธ์ทั้งหมด เพราะ Ecosystem อาจเป็นได้ทั้ง “ตัวช่วย”หรือ “ตัวถ่วง” ของการสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าได้

คุณสวัสดิ์ระบุว่าในปี 2024  Ecosystem ทางธุรกิจ จะวิวัฒนาการจากกลุ่มของหน่วยงานที่แยกจากกัน เป็นการรวมตัวกันเพื่อดำเนินเป้าหมายที่แม้จะแยกจากกันแต่จะสอดคล้องซึ่งกันและกัน โดยจากผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างผู้บริหาร 69% ระบุว่า องค์กรของตนได้รับผลตอบแทนทางการเงินเพิ่มขึ้นจากการมีส่วนร่วมใน Ecosystem ทางธุรกิจ และในโลกที่มีการขาดแคลนบุคลากรทักษะสูง ผู้บริหาร 65% ระบุว่าพวกเขาสามารถเข้าถึงทักษะที่เกี่ยวข้องและเป็นที่ต้องการสูงได้ผ่าน Ecosytem ทางธุรกิจ

นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับ Ecosytem ทางธุรกิจก็คือนวัตกรรมแบบเปิดที่ พันธมิตรสามารถแบ่งปันความสามารถ แนวคิด ทรัพยากร เทคโนโลยี และอื่นๆ เพื่อพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในหลายด้าน ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการสนับสนุนหลังการขาย และ เพื่อให้นวัตกรรมแบบเปิดประสบความสำเร็จ  Data จะต้องเคลื่อนไหวอย่างอิสระและปลอดภัยทั่วทั้ง Ecosytem ซึ่งจากผลการสำรวจพบว่าการเติบโตของรายได้ในกลุ่มผู้นำนวัตกรรมแบบเปิดจะมีสูงกว่าคู่แข่งถึง 59%

คุณสวัสดิ์แนะนำว่า ผู้บริหารจะต้องมีความเชื่อมั่นใน Ecosystem ขององค์กรและจุดประสงค์ที่มีร่วมกัน และประเมินว่าองค์กรมีคู่ค้าที่เหมาะต่อการส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมที่ก้าวหน้าขึ้นหรือยัง โดยให้องค์กรรวมข้อมูลเป็นหนึ่งเดียวและแสวงหาพันธมิตรเพื่อเปิดโอกาสและขยายการทำงานร่วมกันให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ ให้ความสำคัญกับความร่วมมือที่เปิดโอกาสให้เข้าถึงความสามารถและเทคโนโลยีที่หลากหลาย และการรักษาความสัมพันธ์แน่นแฟ้นบนพื้นฐานของความเชื่อใจ รวมถึงใช้ Ecosytem ทางธุรกิจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงต่อไป

นี่คือ 5 เทรนด์ธุรกิจและเทคโนโลยีจากบริษัทชั้นนำระดับโลกจาก IBM ที่เชื่อว่าจะเป็นแนวคิดที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนการทำงานขององค์การให้เดินหน้าต่อไปอย่างถูกทางและก้าวทันกระแสเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบันได้


  • 174
  •  
  •  
  •  
  •