หลังจากปีที่ผ่านมา บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด(มหาชน) หรือ JKN ผู้จัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนท์ระดับสากล ได้รับอานิสงค์จากความแรงของกระแสซีรีส์อินเดียที่ติดลมบนมีเรตติ้งแซงละครไทย จนสถานีโทรทัศน์ต่างวิ่งเข้าหาเพื่อแย่งกันขอซื้อลิขสิทธิ์ที่ทาง JKN ถืออยู่ไปออนแอร์ มาในปีนี้ทาง JKN ก็เตรียมนำซีรีส์ฟิลิปปินส์เข้ามาเสริมทัพกว่า 100 เรื่อง เพื่อเร่งการเติบโตให้ได้ 15% ต่อปี และมีรายได้เกินพันล้านในปีนี้
จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JKN กล่าวว่า ด้วยช่องทางที่สามารถเข้าถึงกลุ่มคนดูที่เพิ่มขึ้น ทั้งทีวีดิจิทัล และช่องทางดิจิทัลต่าง ๆ ทำให้ธุรกิจคอนเทนท์มีการเติบโต ซึ่งในส่วนของบริษัทปัจจุบันลิขสิทธิ์ระดับโลกไว้มากมาย โดยเฉพาะซีรีส์ต่างประเทศ ทั้งจีน เกาหลี ไต้หวัน อินเดีย และฟิลิปปินส์
โดยในปีนี้ จะมีการนำลิขสิทธิ์ซีรีส์ฟิลิปปินส์เข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศไทยมากกว่า 100 เรื่อง เพื่อสร้างความหลากหลายและผลักดันรายได้เติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมาย อาทิ ‘รักกระชากใจเดอะซีรีส์’ ละครสุดดราม่าที่จะมากระตุ้นให้ต่อมน้ำตาแตก ซึ่งซีรีส์ดังกล่าวจะประกอบด้วยตอนย่อยหลายตอน เช่น เมียหมายเลข 1 (The Legal Wife), เพลิงรักสีรุ้ง (My Husband’s Lover) ฯลฯ
“ซีรีส์ฟิลิปปินส์เนื้อหาเหมือนละครไทยเลย ส่วนตัวนิยามให้ว่า แซ่บสุดอารมณ์ การเลือกเข้ามาก็เหมือนกับการเลือกซีรีส์อินเดีย คือ ดูเนื้อเรื่อง ดูสคริปส์ ดูองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง และการที่ทำงานในวงการนี้มานานสั่งสมมา 18 ปี ก้าวสู่ปีที่ 19 ทำให้มั่นใจว่า เปรี้ยงแน่นอน และสามารถแทนที่ละครไทยได้เลย”
นอกจากการขายคอนเทนท์ดี ตรงจริตคนไทยแล้ว ประเด็นสำคัญในการสร้างความสำเร็จให้ซีรีส์ฟิลิปปินส์ก็ไม่ต่างจากซีรีส์อินเดีย คือ ต้องมีการทำการตลาด ไม่ว่าจะสร้างเพลงประกอบ อย่าง‘รักกระชากใจเดอะซีรีส์’ มีการดึงศิลปินไทยชื่อดังมาร้องเพลงประกอบให้ อาทิ ใหม่ เจริญปุระ , ทาทา ยัง เป็นต้น รวมถึงการสร้าง Localize ทั้งบีโลว์ เดอะไลน์และอะเบิฟ เดอะไลน์
ลุยซื้อซีรีส์อินเดียต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม จักรพงษ์ ยอมรับว่า แม้ซีรีส์ฟิลิปปินส์จะมีความแรงจนสามารถแทนที่ละครไทยได้ แต่ไม่สามารถมาแทนซีรีส์อินเดียได้ เพราะตอนนี้ซีรีส์อินเดียกลายเป็นตลาดที่มาแรง ซึ่งปัจจุบันยังคงความนิยมและเรตติ้งสูงอยู่
“ซีรีส์อินเดียกระแสแรงมาก เมื่อก่อนจะนำซีรีส์ที่ฉายจบจากอินเดียแล้วมาฉายในไทย แต่ตอนนี้ฉายเกือบพร้อม ๆ กัน ต้องยอมรับเขาทำมาสำหรับคนรากหญ้า ซึ่งตรงนี้ถูกจริตกลุ่มแมสในไทย ขณะที่ซีรีส์เกาหลี จะฮิตเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งกลุ่มนี้ไปดูฟรีทางออนไลน์ ทำให้ตลาดซีรีส์เกาหลีเสียหมด”
ปัจจุบันทาง JKN มีพันธมิตรที่เป็นสตูดิโอในอินเดีย 4 ราย โดยทั้ง 4 ราย ถือเป็น Big name ของวงการ ประกอบด้วย FOX , Sony, ZEE และ VIACOM โดยปีนี้ได้มีการซื้อลิขสิทธิ์เข้ามาประมาณ 20 เรื่อง อาทิ ‘วัลลพ มหาราชสุดรักสุดแผ่นดิน’ , ‘พระพิฆเนศ’ , ‘ม่านรักประเพณี นันธินี’ , ‘ลิขิตแค้นแสนรัก’ ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันขายลิขสิทธิ์ให้กับสถานีโทรทัศน์ไปหมดแล้ว
สำหรับพันธมิตรหลักในไทยที่ซื้อลิขสิทธิ์ไปออนแอร์ ได้แก่ ช่อง 3 , ช่อง 8 , ไบร์ททีวี และกำลังจะเปิดตัวอีก 3-4 ช่อง รวมถึงจะนำลิขสิทธิ์ที่มีไปขายในประเทศกลุ่ม CLMV
“ซีรีส์อินเดียยังไปต่อได้อีกเป็นสิบปี เราจึงให้ความสำคัญกับซีรีส์อินเดียอยู่ เห็นได้จากงบในการซื้อคอนเทนท์ปีนี้ 600-800 ล้านบาท 40% จะเป็นงบสำหรับซื้อซีรีส์อินเดีย ส่วนรายได้ที่มาจากซีรีส์ประเภทนี้ที่ปิดไปอยู่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ของใหม่ที่เข้ามาจะอยู่ประมาณ 500 ล้านบาท”
ปี 62 เริ่มประเดิมคอนเทนท์ข่าว
นอกจากนี้จากการที่ทาง JKN ได้รับสิทธิ์ National Broadcasting Company Universal (NBC) เพื่อผลิตคอนเทนท์ภายใต้แบรนด์ Consumer News and Business Channel หรือ CNBC ซึ่งเป็นผู้ผลิตผลิตรายการข่าวธุรกิจและการลงทุนที่มีชื่อเสียงของโลก โดยสัญญามีระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2560-2570
ในปี 2562 จึงจะมีการนำคอนเทนท์ดังกล่าวไปออนแอร์ใน 3 ช่อง ได้แก่ ช่อง 3 , ช่องไบร์ททีวี และมันนี่ แชนแนล ก่อนจะมีการตั้งเป็นช่อง JKN CNBC ออกอากาศทางเคเบิ้ลทีวีต่อไป
ทั้งนี้ในแต่ละปี JKN ตั้งเป้าเติบโตปีละ 15% ซึ่งในปีนี้จากแผนดำเนินการทั้งหมดจะผลักดันให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และคาดว่า ทั้งปี 2561 จะมีรายได้เกิน 1,000 ล้านบาท