กระแสการจับมือกันระหว่างภาคธุรกิจในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางการแพร่ระบาดของ COVID-19 ถือว่าเป็นมูฟเมนต์ที่เห็นกันบ่อยๆ ในหลากหลายรูปแบบ เหตุเพราะวิกฤตที่บีบรัดให้ธุรกิจต่างต้องเอาตัวรอดก่อนเติบโตเป็นสิ่งสำคัญของยุคนี้
อย่างเคสของ Daiso ร้านขายสินค้าจิปาถะจากญี่ปุ่นที่คุ้นหูทางฝั่งโน่นว่าร้านทุกอย่าง 100 เยน (ราคาไทย 60 บาท) เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 แม้ว่าจะเป็นร้านที่ขายของราคาเป็นมิตร และเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใครๆ ก็ซื้อกัน แต่ปัญหาอยู่ที่นักช้อป, นักเดินทาง, คนทำงาน, นักเรียน-นักศึกษา, นักท่องเที่ยว ฯลฯ ปรับพฤติกรรมไม่เดินช้อป ไม่เดินเตร็ดเตร่อย่างเดิมตั้งแต่ที่มีการแพร่ระบาด
กลยุทธ์การพลิกเกมของ Daiso น่าสนใจเพราะเลือกที่จะจับมือกับเจ้าใหญ่แห่งวงการ ‘ร้านสะดวกซื้อ’ อย่าง 7-Eleven ด้วยการเพิ่มช่องทางการขายสินค้าของ Daiso ให้ใกล้บ้านผู้บริโภคมากขึ้น ผ่านเชลฟ์สินค้าของ 7-Eleven ซึ่งจะเน้นไปที่สินค้าสะดวกซื้อสำหรับผู้บริโภคและเข้ากับสถานการณ์ อย่างเช่น กระดาษเช็ดมือ, น้ำยาฆ่าเชื้อ, ผ้าเช็ดทำความสะอาด เป็นต้น
ทั้งนี้ Daiso ได้นำร่องทดลองไปแล้วในตอนนี้ 200 สาขาในจังหวัดคานางาวะและฮอกไกโดตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ผลลัพธ์ก็คือ กระแสตอบรับจากผู้บริโภคค่อนข้างดี ยอดขายสินค้าประเภทของใช้ทั่วไป สินค้าอุปโภคบริโภคใน 7-Eleven (ที่มีสินค้า Daiso) เพิ่มเป็น 20% เทียบกับปี 2020
พูดได้ว่า กลยุทธ์นี้ Win-Win ทั้งคู่ ทั้งในแง่ของยอดขายที่เพิ่มขึ้น และการสร้าง awareness ต่อลูกค้าด้วย โดยล่าสุดทาง Daiso และ 7-Eleven ประกาศเป้าหมายร่วมกัน เตรียมจะขยายสาขาที่มีสินค้า Daiso เป็น 10,000 แห่ง และคาดว่าสินค้ามากถึงครึ่งหนึ่งใน 7-Eleven ญี่ปุ่นจะเป็นสินค้าจาก Daiso ซึ่งคาดว่าจะทยอยเปิดเพิ่มเติมตั้งแต่เดือนม.ค. (ยังไม่ระบุวันที่ชัดเจน)
ขณะเดียวกัน ความร่วมมือนี้ไม่ใช่แค่ภายในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ทั้ง 2 ธุรกิจยังมองไปไกลถึงต่างประเทศด้วย ซึ่งประเมินว่า โมเดลธุรกิจนี้ในประเทศเอเชียหลายประเทศ หนึ่งในนั้นก็คือ ไทย ซึ่งยอดขายของ 7-Eleven ค่อนข้างคึกคัก ไม่แน่เราอาจได้เห็นสินค้าของ Daiso วางขายใน 7-Eleven ในไทยเร็วๆ นี้ก็ได้
ที่มา: japantoday
