กำลังเป็นที่ฮือฮาอยู่โลกออนไลน์กับ แคมเปญล่าสุดโดย Dove ที่หยิบเอาประเด็นเชิงสังคม ในเรื่องที่นักเรียนหญิงมัธยมต้นจะต้องไว้ผมสั้นระดับหูหรือห้ามซอยผม โดยต้องไว้ทรงผมให้ถูกกฎระเบียบ และถ้าไม่ทำตามก็จะถูกลงโทษ ซึ่งปัญหาเชิงสังคมนี้ที่เราได้เห็นกันตามข่าวทั่วไป ไม่ได้เกิดเฉพาะนักเรียนหญิงก็เคยมีกรณีของนักเรียนชายที่โดนลงโทษถูกไถจนผมแหว่งเว้าก็มี
สำหรับแคมเปญของ Dove ได้หยิบเอาประเด็นร้อนในสังคมนี้ขึ้นมาตั้งคำถามว่า การไว้ผมยาว หรือทำทรงผมต่างๆ น่าจะเป็นสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่ ซึ่งแม้ว่าได้มีการเรียกร้องและผ่อนปรนกฎระเบียบเรื่องการไว้ทรงผมไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา แต่หลายโรงเรียนก็ยังมีกฎเคร่งครัดตรงนี้อยู่ ทำให้นักเรียนบางคนถูกลงโทษ ซึ่งในฝั่งหนึ่งก็มองว่าไม่ถูกต้อง ขณะที่อีกฝั่งมองว่า เป็นเรื่องที่กฎระเบียบได้วางไว้หากตัดสินใจเข้าเรียนแล้วก็ควรยอมรับตามกฎระเบียบนั้น เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่สังคมยังคงถกเถียงกันถึงความถูกต้องและชอบธรรมของกฎดังกล่าว
ทั้งนี้ Dove ก็ได้นำมาจุดประเด็นอีกครั้ง พร้อมระบุว่า “ผู้หญิง 7 ใน 10 สูญเสียความมั่นใจจากการถูกบังคับตัดผม โดฟสนับสนุนให้ผู้หญิงทุกคน ทำในสิ่งที่อยากทำ หยุดบังคับการตัดผม เพื่อทุกคน #LetHerGrow”
เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์เพียงไม่กี่แบรนด์ที่กล้าหยิบเรื่องร้อนๆ ในสังคมขึ้นมาพูด เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า แบรนด์ในเมืองไทยหลีกเลี่ยงที่จะเล่นกับเรื่องราวดราม่าในสังคม เพราะไม่ต้องการสร้างปัญหาหรือสร้างภาพลบให้เกิดขึ้น และที่สำคัญคือ นอกเหนือจากความกล้าที่มีแล้ว ต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่ Dove หยิบยกมาพูดนั้น ไม่ใช่เรื่องทั่วไป แต่เป็นประเด็นที่ relate กับโปรดักส์ของตัวเองอีกด้วย ซึ่งสะท้อนภาพแบรนด์ที่มีจุดยืนที่ดี มีความ authentic และไม่แสดงตัวว่า fake woke จนเกินไปด้วย
แต่กระแสของแคมเปญโดย Dove นี้น่าสนใจตรงที่ไม่ได้จุดติดโดยตัวแบรนด์เอง แต่มาจุดติดผ่าน Influencer ในวงการธุรกิจอสังหาฯ คนสำคัญได้แก่ “เศรษฐา ทวีสิน” ซีอีโอแสนสิริ ที่นำภาพหน้า 1 ของ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ซึ่ง Dove ลงทุนซื้อพื้นที่เอาไว้เพื่อแคมเปญนี้ พร้อมกับกล่าวชื่นชมว่า
“ชื่นชม Unilever บ.ระดับโลกที่กล้าพูดประเด็นสังคม การบังคับตัดผมเป็นประเด็นลึกกว่าที่เห็น เพราะสิ่งที่โดนตัดไม่ใช่แค่ผม แต่เป็นการตัดตอนความมั่นใจ ความเป็นตัวตน ความกล้าที่จะแสดงออกของคนรุ่นใหม่ – แค่เรื่องผมยังไม่มีอิสระ แล้วต่อไปเขาเติบโตจะกล้าแสดงจุดยืนต่อเรื่องอื่นๆ ได้อย่างไร”
หลังจากลงโพสต์นี้แล้ว ก็มีการรีทวีตมากกว่า 45,000 ครั้ง พร้อมกับมีการส่งต่อและกลายเป็นภาพไวรัลในเวลาอันรวดเร็ว
ชื่นชม Unilever บ.ระดับโลกที่กล้าพูดประเด็นสังคม การบังคับตัดผมเป็นประเด็นลึกกว่าที่เห็น เพราะสิ่งที่โดนตัดไม่ใช่แค่ผม แต่เป็นการตัดตอนความมั่นใจ ความเป็นตัวตน ความกล้าที่จะแสดงออกของคนรุ่นใหม่
แค่เรื่องผมยังไม่มีอิสระ แล้วต่อไปเขาเติบโตจะกล้าแสดงจุดยืนต่อเรื่องอื่นๆได้อย่างไร pic.twitter.com/l1viDiK69Z
— Srettha Thavisin (@Thavisin) May 3, 2022
สำหรับ Dove นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แบรนด์ในกลุ่มของ Unilever ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรม FMCG ได้หยิบเอาประเด็นทางสังคมและการสะท้อนความงามที่หลากหลายขึ้นมาพูด อาทิ “My Beauty, My Say” Dove ประเทศจีน ที่สนับสนุนความสวยงามของผู้หญิงว่าสวยได้โดยไม่ต้องมีฟิลเตอร์
หรือ Dove UK. ที่สนับสนุนเรื่อง Beauty Diversity ผ่านการดีไซน์ขวดด้วยรูปร่างต่างๆ กัน เพื่อชื่นชมความงามในทุกรูปแบบ ไม่ว่าคุณจะมีรูปร่างแบบใดก็ตาม เพราะความงามที่แท้จริงคือความงามในแบบของตัวเอง เป็นต้น