ตลาด “สติกเกอร์” ยังไม่อิ่มตัว! LINE โฟกัส “แพลตฟอร์ม - ครีเอเตอร์” เดินเกมรุกกระตุ้นการซื้อ

เคยสำรวจมั้ยว่าแอป LINE ในมือถือของคุณ มี “สติกเกอร์” กี่ชุด ? เพราะจากสถิติของ LINE ประเทศไทย กับการดำเนินงานสู่ปีที่ 7 ระบุว่า…คนไทยใช้สติกเกอร์ไลน์ถึง 65 ชุดต่อคน ซึ่งเป็นสติกเกอร์ซื้อประมาณ 20 ชุด โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัวในปีที่ผ่านมา จากการเพิ่มช่องทางจำหน่ายและการเพิ่มสติกเกอร์รูปแบบใหม่ ๆ ออกมาสร้างสีสันในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

โดย คุณกณพ ศุภมานพ ผู้อำนวยการธุรกิจสติกเกอร์ LINE ประเทศไทย เล่าถึงการเติบโตของธุรกิจให้ฟังว่า ตอนนี้ทั่วโลกมีสติกเกอร์ 6 ล้านชุด เป็นสติกเกอร์ในตลาดไทย 2.2 ล้านชุด เท่ากับ 35% ของตลาดโลกแล้ว นั่นทำให้ไทยเป็น 1 ใน 4 ประเทศหลักของตลาดสติกเกอร์ ร่วมกับญี่ปุ่น ไต้หวัน และอินโดนีเซีย

“สติกเกอร์ไลน์มีการเติมสีสันและแปลกใหม่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สติกเกอร์รูปแบบธรรมดา สู่ป็อบอัพสติกเกอร์ มิวสิคสติกเกอร์ อีโมจิที่ใส่ข้อความได้ มาถึงบิ๊กสติกเกอร์และคัสตอมสติกเกอร์เทรนด์ใหม่ของสติกเกอร์ไลน์ในปีนี้ แต่ไม่ใช่แค่สติกเกอร์ไลน์เป็นที่นิยม ธีมตกแต่งหน้าจอก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยทำรายได้เพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 45% ของยอดขายสติกเกอร์”

กณพ ศุภมานพ

“ไทย” เบอร์ 1 จำนวนสติกเกอร์ – การเติบโตครีเอเตอร์

ประเด็นที่น่าสนใจ คือ ไทยติดหนึ่งในอันดับประเทศที่มีการใช้งานสติกเกอร์ ทั้งในแง่การใช้งานและการเติบโตของครีเอเตอร์นักออกแบบ โดยปัจจุบันมีครีเอเตอร์ชาวไทยมากถึง 480,000 คน

ต่อยอด “แพลตฟอร์มใหม่” ขยายช่องทางขาย

แม้ว่าปัจจุบัน การซื้อสติกเกอร์ไลน์ผ่านแอป LINE ยังคงเป็นช่องทางหลักถึง 70% ส่วนอีก 30% มาจากตู้เติมเงิน ตัวแทนจำหน่าย และการซื้อผ่านโอเปอเรเตอร์ ซึ่งในปีนี้ LINE ประเทศไทย จะต่อยอดแพลตฟอร์มใหม่ ๆ โดยร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อเพิ่มยอดขายและขยายฐานผู้ใช้กลุ่มใหม่ ด้วยการขายผ่าน “ตัวแทนขายที่ได้รับการแต่งตั้ง” ซึ่ง LINE ระบุว่า ปัจจุบันมีตัวแทนขายลักษณะดังกล่าวแล้ว 80 ราย แต่ตั้งเป้าในปีนี้ 500 ราย เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการซื้อของผู้ใช้งานให้มากที่สุด โดยลูกค้าหลักของสติเกอร์ไลน์ราว 60% คือ ผู้หญิง วัย 25-35 ปี

“เพราะคนไทยคุ้นชินกับการซื้อสินค้าผ่านพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เป็นอย่างมาก จากพฤติกรรมแคปสินค้าที่ต้องการ ส่งให้คนขาย โอนเงิน และรอรับสินค้า เช่นเดียวกับการซื้อสติกเกอร์ไลน์ เราจึงอยากสร้างความมั่นใจในการใช้งานให้ลูกค้าว่าจ่ายเงินแล้วจะได้รับสติกเกอร์จริง จึงเปิดรับตัวแทนขายอย่างถูกต้อง โดย LINE จะตรวจสอบคุณสมบัติและประวัติของผู้สมัครก่อนแต่งตั้ง ซึ่งจากสถิติพบว่าการขยายช่องทางขายใหม่ ๆ จะช่วยเพิ่มผู้ซื้อรายใหม่ได้ราว 40% ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าจะลดปัญหาการซื้อสติกเกอร์ไลน์ที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิด ว่าการซื้อผ่านแอปต้องใช้บัตรเครดิตเท่านั้น แต่ในความจริงสามารถเลือกชำระเงินได้หลายรูปแบบ หรือแม้แต่ความร่วมมือกับ AIS ที่ให้ลูกค้าใช้พอยท์แลกรับสติกเกอร์ไลน์ได้ ก็ถือเป็นครั้งแรกที่เราร่วมมือกับโอเปอเรเตอร์เช่นนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า”

วิวัฒนาการของสติกเกอร์ไลน์ ในไทย

วางโมเดลโตคู่ “ครีเอเตอร์” หนุนทำ “ธีม” มากขึ้น

อย่างที่บอกไปแล้วว่า ครีเอเตอร์ชาวไทยมีจำนวน 480,000 คน เรื่องนี้ LINE ประเทศไทย มองว่าเมื่อตลาดสติกเกอร์ไลน์เติบโตก็ทำให้ครีเอเตอร์เติบโตตามไปด้วย ประกอบกับ LINE ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมครีเอเตอร์เป็นอาชีพใหม่ ประกวด และเวิร์คช้อป รวมถึงถ่ายทอดความสำเร็จครีเอเตอร์รุ่นก่อน ซึ่งขณะนี้มีสติกเกอร์ราว 28 ชุด จากผลงานของครีเอเตอร์ชาวไทยที่นำไปให้ดาวน์โหลดในตลาดต่างประเทศแล้ว

เทรนด์สติกเกอร์ที่เป็นที่นิยมของผู้ใช้งานปัจจุบัน คือ สติกเกอร์ที่อินเทรนด์กับช่วงเวลานั้น และสติกเกอร์การ์ตูนแบบหัวโต และสติกเกอร์ตัวหนังสือขนาดใหญ่ ส่วนสติกเกอร์ที่ไม่ได้รับความนิยมแล้ว คือ สติกเกอร์ชื่อ สำหรับขั้นตอนการอนุมัติสติกเกอร์ในปัจจุบันใช้เวลาราว 1 สัปดาห์ ซึ่งมีสติกเกอร์จากครีเอเตอร์รอการอนุมัติหลายพันชุดต่อวัน ส่วนรูปแบบการแบ่งรายได้ระหว่าง LINE และครีเอเตอร์ซึ่งเป็นท็อปครีเอเตอร์ อยู่ที่ 50 : 50

และแม้ว่าขณะนี้ ธีมตกแต่งหน้าจอจะเป็นที่นิยมมากขึ้นโดยเฉพาะธีมลายศิลปิน – ดารา และโกลบอลคาแรกเตอร์ แต่ผลงานที่มาจากครีเอเตอร์ชาวไทยยังมีไม่มาก ทำให้ LINE พยายามสนับสนุนครีเอเตอร์ให้พัฒนาธีมมากขึ้น รวมถึงการเจาะตลาดสติกเกอร์ไลน์และธีมเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้ชายด้วย โดยล่าสุดมีความร่วมมือกับคุณพิชัย แก้ววิชิต เจ้าของฉายาช่างภาพวินมอเตอร์ไซค์ เพื่อเอาใจผู้ใช้งานกลุ่มดังกล่าว

สำหรับราคาสติกเกอร์ไลน์ในปัจจุบัน อยู่ที่ 30-150 บาท โดยสติกเกอร์จากครีเอเตอร์จะมีราคาที่ 30 บาท ส่วนราคาสูงกว่านั้นจะเป็นสติกเกอร์แบบออฟฟิเชียลแอคเคาท์ และศิลปินเกาหลี ซึ่งขณะนี้มีสติกเกอร์จากเซเลบ ศิลปิน มากกว่า 100 ชุด

“เรื่องตลาดอิ่มตัวนั้น เราเชื่อว่าในไทยยังเติบโตได้อีกมากเมื่อเทียบจากสัดส่วนการซื้อสติกเกอร์ไลน์ที่ยังเป็นรองญี่ปุ่นและไต้หวัน ทำให้เราเลือกเดินเกมใหม่ในการกระตุ้นให้เกิดการซื้อ ด้วยรูปแบบ CRM สะสมยอดซื้อเพื่อแลกรับสิทธิพิเศษ ซึ่งจะเริ่มต้นภายในสิ้นเดือนนี้”