คลิปคนเห็นเป็นล้าน ไม่ได้หมายความว่าจะมีคนเป็นลูกค้าล้านคน

  • 105
  •  
  •  
  •  
  •  

ในยุคที่การตลาดนั้นมีการแข่งขันสูงเช่นการหาทางที่จะทำการตลาดเพื่อให้ล้ำหน้ากว่าคู่แข่งนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้หลาย ๆ ครั้งนั้น นักการตลาดทำอะไรที่สามารถช่วงชิงกระแสความสนใจของผู้บริโภคมาให้ได้ เพื่อที่หวังว่าจะกลายเป็นความสนใจและก่อให้เกิดลูกค้ามากมายตามมาหลังจากการใช้กระแสเหล่านั้น ซึ่งในความจริงแล้วทั้ง 2 เรื่องนี้อาจจะไม่มีความเกี่ยวพันเลยก็ได้

Screen Shot 2561-04-18 at 21.44.04

ปัจจุบันนี้มีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีมากมาย และมีการแข่งขันของสื่อในการทำเนื้อหาต่าง ๆ ที่แย่งความสนใจของผู้บริโภคมา ซึ่งไม่เพียงสื่อเท่านั้นที่ต้องการความสนใจผู้บริโภค แต่แบรนด์ต่าง ๆ เองก็ต้องการความสนใจนี้ และแม้แต่เพื่อน ๆ ของผู้บริโภคเองก็ต้องการ ดังนั้นความที่ผู้บริโภคมีความสนใจที่จำกัดทำให้คนที่ต้องการแย่งความสนใจนี้ ต้องสร้างอะไรที่มีความสำคัญ ความน่าสนใจมากพอที่จะดึงดูดความสนใจของคนที่จะเป็นกลุ่มเป้าหมายมาให้ได้ ซึ่งนี้เองทำให้วิธีการอะไรที่ทำ ๆ แล้วคนบอกว่าเวิร์ค หลาย ๆ คนก็จะแห่ทำตาม ๆ กันไป จนทำให้สิ่งที่ทำออกมานั้นกองอยู่ในเนื้อหาที่มีวิธีการเดียวกันออกมา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เมื่อ Facebook ประกาศว่าจะให้ความสนใจวิดีโอ ทำให้ทุก ๆ คนนั้นหันมาทำวิดีโอกันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Long form, Short form หรือจะเป็น functional, emotional หรือ animate, การ์ตูนแบบต่าง ๆ ขึ้นมา ด้วยวิดีโอที่มีออกมากมายเช่นนี้ นักการตลาดเคยลองคิดไหมว่า ทำไมคนต้องมาสนใจวิดีโอเรา หรือทำไมวิดีโอเราจะมีคนดู ถ้าไม่ได้ลงโฆษณาคนจะเห็นไหม หรือลงโฆษณาไปแล้วคนจะสนใจมาดูจริงไหม

ปัญหาการทำคลิปแบบทำตาม ๆ กัน โดยไม่ได้สนใจว่าคลิปนั้นจะเป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่ หรือสุดท้ายแล้วคนดู ดูจบแล้วจะได้อะไร หรือจะพาไปไหน ยังไม่เลวร้ายในวิธีคิดที่เอา Framework แบบเดิม ๆ มาประกอบด้วย ด้วยการคิดว่า การทำอะไรที่ทำให้คนเห็นเยอะ ๆ ย่อมสร้างให้เกิดการเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าเยอะ ๆ ได้ หรืออย่างน้อยก็มีโอกาสที่จะได้ลูกค้าเยอะขึ้นจากการเห็นเยอะ ๆ นี้ได้ขึ้นมา

Marketing-funnel-01

แต่เดี๋ยวก่อนลองกลับมาดูคำนี้ดี ๆ ว่า การเห็นเยอะ = การเป็นลูกค้าเยอะจริงไหม เมื่อพิจารณาดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวกันเลยในยุคนี้ที่คนเห็นเยอะ แปลว่าจะมีลูกค้ามาเยอะขึ้น ซึ่งแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่หลงเหลือมาจากในอดีตที่ทำ Mass Media กันอย่าง Traditional Media แบบ TV, Print ต่าง ๆ ที่ในอดีตจะทำออกมาให้คนเห็นเยอะที่สุด แล้วนำคนไปยังที่ชั้นวางสินค้าหรือหน้าร้านของตัวเอง เพื่อเปลี่ยนเป็นกลุ่มคนที่เห็นเหล่านี้ให้กลายมาเป็นลูกค้าขึ้นมาได้ ซึ่งด้วยการที่อดีตไม่ได้ข้อมูลต่าง ๆ มากมายเท่านี้ ทำให้สิ่งที่ต้องทำคือการเหมือนการจับปลาโดยการลากอวนขนาดยักษ์ แล้วค่อยมากรองเอากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการที่ชั้นวางสินค้าเอา และแน่นอนวิธีการที่ต้องต้อนคนมหาศาลแบบนี้ย่อมใช้งบประมาณมากมายเช่นกัน นอกจากนี้ในอดีตพฤติกรรมของผู้บริโภคไม่ได้มีสื่อต่าง ๆ มากมายเช่นนี้ ทำให้พฤติกรรมที่มีในอดีตนั้นไม่ได้มีความซับซ้อนด้วย แต่เมื่อมีโลกออนไลน์เข้ามา ผู้บริโภคก็มีการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม ตัวอย่างเช่นการหาข้อมูล การเปลี่ยนเทียบ การสอบถาม หรือการขอความคิดเห็นจากคนที่ไม่ได้รู้จักเลย ซึ่งทำให้เวลาทำ Mass Media หรือการใช้แนวคิดการทำให้คนเห็นเยอะ ๆ ในอดีตนั้นไม่ได้ผล เพราะในที่สุดแล้ว ผู้บริโภคก็จะมีพฤติกรรมไปสอบถามหรือหาว่าสินค้านั้นตรงกับการแก้ปัญหาที่ตัวเองต้องการอีกหรือไม่

Screen Shot 2561-04-18 at 21.40.58

เมื่อการเห็นเยอะ ๆ นั้น ไม่ใช่คำตอบที่จะทำให้เกิดลูกค้าเยอะ ๆ ในปัจจุบัน แล้วอะไรกันที่จะสามารถก่อให้เกิดลูกค้าขึ้นมาได้ สิ่งนั้นก็คือ Experience นั้นเอง ไม่ใช่แค่ประสบการณ์ผิวเผินแบบการโดน Content Marketing หรือ Storytelling แบบต่าง ๆ ที่ดูหรือบริโภคไปแล้วก็ลืม แต่เป็น Experience เชิงลึก ที่มีความหมายต่อชีวิตผู้บริโภคขึ้นมา ที่สร้างความทรงจำ สร้างความรู้สึกและผูกผันกับผู้บริโภคขึ้นมา ลองนึกถึงประสบการณ์การไปเที่ยวต่างประเทศที่ทุกคนจะมีความผูกพันธ์กับการเดินทางเหล่านั้น หรือการเที่ยวดิสนีย์แลนด์ที่ทุกคนจะรู้สึกประทับใจจนต้องอยากกลับไปอีกครั้ง ซึ่งพวกนี้คือการสร้างประสบการณ์เชิงลึกที่ผู้บริโภคนั้นสามารถเข้ามาสัมผัสเรื่องราวของการเดินทางหรือกิจกรรมนั้นจริง ๆ เรียกได้ว่า 1st hand experience นั้นเอง ไม่ต้องมาผ่านการเล่าผ่านคลิปหรือการทำการเล่าผ่าน content รูปแบบต่าง ๆ

JFK_jameson-Exhibitsm

การสร้าง Experience แบบเชิงลึกไม่ว่าจะเป็นการทำ Activation, Event เหล่านี้ แม้ว่าจะปรากฏให้แก่คนที่เห็นนั้นน้อยกว่า แต่กลับสร้างความผูกพันธ์ให้คนรู้จักแบรนด์มากกว่าจริง ๆ และมีผลอย่างมากที่จะเปลี่ยนคนที่ผ่านมารู้จักแบรนด์นั้นให้กลายมาเป็นลูกค้าได้ โดยการให้กลุ่มเป้าหมายนั้นได้มาทดลองแบรนด์ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จริง ๆ ซึ่งยิ่งมีประสบการณ์ในทางบวกมากแค่ไหน ย่อมทำให้กลุ่มเป้าหมายนั้นไปบอกต่อหรือชวนคนให้มาร่วมมีประสบการณ์ดี ๆ กับตัวเองด้วยตามหลักจิตวิทยานั้นเอง ซึ่งเมื่อมองไปยังงานการทำการสื่อสารทางการตลาดของต่างประเทศ เราจะเห็นงาน Campaign ที่ลงไปสัมผัสกับกลุ่มเป้าหมายจริง ๆ มากมาย มากกว่าที่จะเป็นคลิปเล่าเรื่องซึ่งคิดทำแบบโฆษณา แต่ถ้าหันมามองในประเทศไทยแล้วเราจะทำแต่คลิปกัน

brand-awareness

ทั้งนี้นักการตลาดควรหันกลับมาดูว่า การทำอะไรให้คนเห็นเยอะ ๆ นั้น สามารถสร้างให้เกิดลูกค้าหรือคนที่สนใจเยอะ ๆ จริงหรือไม่ หรือเพียงเป็นข้ออ้างที่ไม่กล้าที่จะเสี่ยงทำอะไรที่จะได้ผลในการสร้างประสบการณ์ของผู้บริโภคจริง ๆ ขึ้นมา

httpv://www.youtube.com/watch?v=E10VJST98eM


  • 105
  •  
  •  
  •  
  •  
Molek
Head of Strategic Marketing ใน Integrated Service Agency ที่หนึ่ง ผู้หลงใหลในหลาย ๆ ที่มีความอยากรู้และเรียนรู้ในเรื่อง Startup, นวัตกรรม, การตลาด จากมุมมองหลาย ๆ ด้านและวัฒนธรรมของแบรนด์ต่าง ๆ