นอกจากสินค้าออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในการซื้อขายผ่านระบบ e-Commerce แล้ว ความบันเทิงยังกลายเป็นที่ต้องการของหลายๆ คน เนื่องจากการหยุดอยู่บ้าน (Work from Home) เห็นได้จากยอดการสมัครสมาชิกของธุรกิจ Streaming รวมไปถึงยอดการของเครื่องเล่นเกมที่เพิ่มขึ้นสูงในช่วงการแพร่ระบาดทั่วโลก และยังรวมไปถึงการดาวน์โหลดภาพยนตร์เพื่อรับชม
Amazon ผู้ให้บริการ e-Commerce รายใหญ่ระดับโลกเห็นเทรนด์นี้เช่นกัน และเพื่อให้ลูกค้าสามารถเจ้าถึงภาพยนตร์หลายๆ เรื่องที่ยังเข้าไม่ถึงโลกออนไลน์ จึงได้ทำข้อตกลงการควบรวมกิจการเพื่อซื้อสตูดิโอ MGM (Metro Goldwyn Mayer) ที่หลายๆ คนคุ้นตาจากภาพสิงโตคำรามในราคา 8.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนแคตตาล็อกภาพยนตร์สำหรับสมาชิก Prime Video และ Amazon Studios
สำหรับ MGM มีภาพยนตร์มากกว่า 4,000 เรื่อง ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงภาพยนตร์แฟรนไชส์อย่าง เจมส์บอนด์ (James Bond 007) และร็อกกี้ (Rocky) ตลอดจนรายการทีวีอีกกว่า 17,000 รายการ อาทิ ฟาร์โก (Fargo), The Handmaid’s Tale และไวกิ้ง (Vikings) และยังมีอีกหลายรายการทั้งที่ได้รับรางวัลออสการ์มากกว่า 180 รางวัลและ 100 รางวัลเอ็มมี่
Mike Hopkins รองประธานอาวุโสของ Prime Video ชี้ว่า มูลค่าทางการเงินที่แท้จริงจะเกิดหลังข้อตกลงนี้ โดยจะมีการวางแผนที่ในการพัฒนาร่วมกับทีมงานของ MGM ในการมอบโอกาสสำหรับภาพยนตร์คุณภาพสูง ด้าน Jeff Bezos ซีอีโอของ Amazon เห็นว่า MGM มีทรัพย์สินทางปัญญาที่ทรงคุณค่ามากมายและการผสานทีมงานจาก MGM และ Amazon Studios จะช่วยพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ได้
นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยรักษามรดกและภาพยนตร์ของ MGM และให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลงานที่มีอยู่เหล่านี้ได้ผ่านระบบดิจิทัล โดย Amazon ต้องการเพิ่มขีดความสามารถให้ MGM ให้ยังคงดำเนินการสร้างผลงานในเรื่องต่อๆ ไป ส่วน Kevin Ulrich ประธานคณะกรรมการบริหารของ MGM เสริมว่า เป็นการผสมผสานที่ลงตัวและนับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งของ MGM ขอขอบคุณทีมงาน MGM ที่ได้ช่วยให้ MGM ปลุกกระแสยุคทองของฮอลลีวูดมายาวนานจะยังคงดำเนินต่อไป
Source: Campaign Asia