ถือเป็นหนึ่งกรณีศึกษาที่เป็นบทพิสูจน์ได้ว่า ecosystem ของ SABUY ช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโต ซึ่งก่อนหน้านี้ SABUY ได้เข้าลงทุนใน TSR หรือ บริษัท เธียรสุรัตน์ จำกัด (มหาชน) ในช่วงครึ่งปีแรกของปีที่ผ่านมา ซึ่งการเข้าลงทุนในครั้งนั้น ส่งผลให้ TSR เดินหน้ากลยุทธ์ 4 ด้าน ทั้งเรื่องของสินค้า Water Treatment, การขยายช่องทางใหม่ๆ, การขยายตลาดสู่ Smart Home และการให้บริการในด้าน Financial Service
SABUY ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลกำไร
ด้าน คุณวรานนท์ คงปฏิมากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เธียรสุรัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSR ชี้ว่า ผลการดำเนินงานในปี 2565 ของกลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 71.99 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 40.98 ล้านบาทหรือคิดเป็น 132.16% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติจ่ายปันผลเป็นหุ้นและเงินสด โดยให้จ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญของบริษัทจำนวนไม่เกิน 54,941,713 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 บาทให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทในอัตราหุ้นละ 0.0111 บาท คิดเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 61.05 ล้านบาท
แม้ว่ารายได้จากการขายเครื่องกรองน้ำจะลดลง แต่รายได้จากการขายไส้กรอง รวมถึงธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกและสินเชื่อ Floor Plan มีสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับกลุ่มบริษัทสามารถบริหารค่าใช้จ่ายให้มีอัตราที่ลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้มีกำไรเพิ่มขึ้น ประกอบกับการเข้ามาร่วมบริหารของกลุ่มสบายส่งผลให้บริษัทสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างก้าวกระโดดด้วย ecosystem ของกลุ่มสบาย
ด้วยช่องทางการขายที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้ SABUY ecosystem ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและครอบคลุมกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น ส่งผลให้ TSR มีเป้าหมายในปี 2566 อยู่ที่ 4,000 ล้านบาท ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทยังได้มีมติให้เสนอเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ เป็น บริษัท สบาย คอนเน็คเท็ค จำกัด (มหาชน) หรือ SBNEXT เพื่อความชัดเจนในการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับกลุ่ม SABUY ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายและให้บริการกับผู้บริโภคโดยตรง
โชว์ผลกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมาถือเป็นช่วงเวลาที่ SABUY เห็นตัวเลขผลกำไร หลังจากเข้าร่วมลงทุนกับบริษัทต่างๆ เป็นจำนวนมาก โดย คุณณรงค์ชัย ว่องธนะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานบัญชีและการเงิน SABUY ชี้ว่า โดยในช่วงไตรมาส 4 SABUY สามารถสร้างรายได้อยู่ที่ 2,492 ล้านบาท โตขึ้นประมาณ 179% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น และยังโตถึง 113% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน โดยมีกำไรสุทธิ 518 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 574% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น
ส่งผลให้ตลอดปีที่ผ่านมา SABUY มีรายได้รวมทั้งสิ้น 5,325 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นรายได้จากธุรกิจ Connext ถึง 2,908 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 54.6% ขณะที่ธุรกิจ Enterprise สร้างรายได้ถึง 1562 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 29.4% และรายได้จากธุรกิจ Payment ถึง 855 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 16% ซึ่งรายได้และผลกำไรที่เกิดขึ้นเกิดจากการพัฒนา SABUY ecosystem
พร้อมกันนี้ SABUY ยังตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ไว้ที่ 20,000 ล้านบาท โดยจะเป็นรายได้ที่มาจาก 6 แกนหลัก โดยในส่วนของ Machine และ Kiosk ประมาณ 2.9 พันล้านบาท ขณะที่ในส่วนของ Consumer Merchandising ที่คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ถึง 3.2 พันล้านบาท ด้าน Financial Service คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้อยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจ Drop Off Shop & Service คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้อยู่ที่ 3.3 พันล้านบาท ส่วนธุรกิจด้าน Solution & Platform จะสามารถสร้างรายได้อยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท และธุรกิจใหม่ Innotainment & Infrastructure ที่คาดว่าจะสร้างรายได้อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท
Innotainment เป้าต่อไปของ SABUY
เมื่อเทียบทั้ง 6 แกนจะเห็นได้ว่า รายได้ส่วนใหญ่ของ SABUY มาจากธุรกิจใหม่ Innotainment & Infrastructure โดยตั้งเป้าสร้างรายได้อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท ซึ่ง คุณวิรัช มากตกาล ประธานเจ้าหน้าที่บริการกลุ่มงานพาณิชย์ SABUY ชี้ว่า SABUY ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Web3 Technology หรือ Blockchain โดย SABUY จะพูดถีง Crypyocurrency น้อยมาก
โดย Cryptocurrency สำหรัย SABUY มองว่า เป็นเพียงหนึ่งองค์ประกอบในการเชื่อมต่อข้อมูลสำหรับระบบ CRM (Customer Ralationship Management) โดยจะเห็นได้ว่าในส่วนของ Innotainment จะมีบริษัท AsiaSoft อยู่ในนั้นด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เทคโนโลยีของ SABUY จะเน้นไปที่ด้าน Operation เป็นหลัก แต่ในเรื่องของ Innovation ระดับ Advance ต้องยกให้บริษัทชื่อดังระดับ Regional อย่าง AsiaSoft ในการผลักดันออกไป
ขณะที่ SABUY Digital มีการพัฒนา CRM Token เพื่อใช้ในระบบ ecosystem ของ SABUY โดยที่ Fit Token ก็มีความร่วมมือกับหลายหน่วยงานภาครัฐ อย่างกรมอนามัย เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายในรูปแบบ Fit to Earn ที่สำคัญในปีนี้จะให้ความสำคัญกับ Digital Marketing ซึ่งกระจายไปในบริษัทต่างๆ โดยจะได้เห็นรูปแบบการใช้ Digital Marketing เพิ่มมากขึ้น ผ่านระบบของ Nipa Cloud ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ของไทย สร้างความมั่นใจในเรื่องของความปลอดภัยข้อมูลและมี Back up อยู่ในประเทศไทย
เล็งเจาะตลาดเพื่อนบ้าน สร้างเครือข่าย Data
ที่ผ่านมา สบายจะให้ความสำคัญกับเรื่องของ Touch Point โดยตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา Touch Point ของ SABUY เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากในปี 2020 ที่มี Touch Point เพียง 65,000 จุด จนถึงปี 2022 ที่มี Touch Point เพิ่มขึ้นถึง 5 แสนจุด และในปีนี้ SABUY ตั้งเป้าขยาย Touch Point เพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านจุด และโอกาสที่จะทำให้ได้ถึงตามเป้าที่กำหนดไว้จำเป็นต้องออกสู่ตลาดต่างประเทศ
โดยในปีนี้จะเน้นไปที่เรื่องของ Overseas Aspiration โดยประเทศแรกที่ SABUY เข้าไปเจาะตลาดคือประเทศมาเลเซีย และยังเตรียมขยายต่อไปยังประเทศเมียนมาร์ ที่แม้ว่าจะมีปัญหาภายในประเทศ แต่ระบบการจ่ายเงินจะต้องยังคงดำเนินต่อไป รวมไปถึงประเทศกัมพูชา โดยได้รับการเชื้อเชิญจากพันธมิตรที่อยู่ในกัมพูชาให้เข้าไปลงทุนในประเทศ ซึ่งจะช่วยให้แผนการบุกต่างประเทศของ SABUY สามารถทำได้เร็วขึ้นมากกว่าแผนเดิมที่วางไว้
โดย SABUY เตรียมนำเทคโนโลยีโซลูชั่นต่างๆ เข้าไปให้บริการไม่ว่าจะเป็น Digital Payment & Wallet, Master Solutions, Commerce Platform, CRM, Lifestyle & Entertainment, Financial Products, Communication และระบบ Cloud และจะนำไปสู่การสร้าง Labs Data ซึ่งจะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เพื่อให้พันธมิตรของ SABUY วางกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม และนำไปสู่เป้าหมายในปี 2024 สู่การเป็น Data Minetization
ในส่วนของการเข้าซื้อหุ้น Singer คุณวิรัชมองว่า ธุรกิจของ Singer สอดรับกับเป้าหมายของ SABUY ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Touch Point, Commerce หรือแม้แต่เรื่องของ Service ซึ่งการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ยังไม่มีการคุยกับ Jaymart ในฐานะบริษัทแม่ของ Singer และการเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้ก็มีสัดส่วนที่น้อยมาก แต่ถ้าในอนาคตจะมีความร่วมมือกันก็อาจจะต้องมีการคุยกับ Jaymart ก่อน
