“Bag to the Future” โครงการอัพไซเคิล “ถุงเหลือใช้จากการบรรจุปูนซีเมนต์”

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

[ข่าวประชาสัมพันธ์]

“เอสซีจี” เปิดโครงการ “Bag to the Future” จับมือ DITP และ 3 แบรนด์แฟชั่นระดับท็อปของไทย อัพไซเคิล “ถุงเหลือใช้จากการบรรจุปูนซีเมนต์” เป็นกระเป๋า ลิมิเต็ด เอดิชั่น แฟชั่นไอเท็มสุดฮิปที่ทุกคนต้องมี

 

  • ผลิตขึ้นเพียงแบรนด์ละ 100 ใบ ออกแบบในสไตล์เฉพาะตัวของเหล่าดีไซเนอร์ จากแบรนด์ ISSUE KLOSET & ETCETERA และ URFACE
  • พร้อมชวนเหล่าแฟชั่นนิสต้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบสิ่งดีๆ ให้กับสังคมด้วย การนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย มอบให้ “มูลนิธิที่อยู่อาศัย ประเทศไทย”

“เอสซีจี” ผู้นำนวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง สานต่อแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่เอสซีจีนำมาปรับใช้ภายใต้แนวปฏิบัติ SCG Circular Way ล่าสุด เปิดตัวโครงการ “แบ็ก ทู เดอะ ฟิวเจอร์” (Bag to the Future) โดยร่วมมือกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และ 3 แบรนด์แฟชั่นแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง ISSUE KLOSET & ETCETERA และ URFACE ร่วมออกแบบกระเป๋า ลิมิเต็ด เอดิชั่น แฟชั่นไอเท็มสุดฮิปที่ผลิตขึ้นจากการอัพไซเคิล (Upcycle) “ถุงเหลือใช้จากการบรรจุปูนซีเมนต์” ของ  แบรนด์ต่างๆ ในเครือเอสซีจี มาพร้อมดีไซน์อันโดดเด่นสะท้อนเอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์ออกมาได้อย่างชัดเจน โดยเปิดตัวครั้งแรกภายในงาน STYLE Bangkok 2019 งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์แห่งปี ณ ไบเทค     บางนา และวางจำหน่ายผ่านร้าน ISSUE KLOSET & ETCETERA และ URFACE ในสาขาที่กำหนดและช่องทางออนไลน์ ในราคา 1,880 – 3,590 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป

คุณปรวรรณ มหัทธนะสุข Customer and Brand Management Director บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด กล่าวว่า “เอสซีจีตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ภายใต้แนวปฏิบัติ SCG Circular Way ที่เน้นการรักษาคุณค่าของทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเกิดการใช้ทรัพยากรใหม่ให้น้อยที่สุด โดยสร้างกระบวนการผลิตใหม่ (Re-process) ผ่านการออกแบบใหม่(Re-design) การสร้างคุณค่าใหม่ (Added value) การสร้างนวัตกรรมใหม่ (Innovation) การสร้างความร่วมมือ (Collaboration) เพิ่มขึ้น และการใช้ซ้ำ (Reuse) ซึ่งถือเป็นการสร้างคุณค่าและความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม ชุมชน และธุรกิจ พร้อมทั้งยังเน้นการสร้างความเข้าใจ สนับสนุนและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตและการบริโภค    เพื่อนำไปสู่การพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยการรักษาคุณค่าของทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด”

“เพื่อเป็นการสานต่อแนวคิดดังกล่าว เอสซีจี จึงได้เปิดตัวโครงการ ‘Bag to the Future’ โดยร่วมมือกับ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และ 3 แบรนด์แฟชั่นแถวหน้าของประเทศไทย ได้แก่ ISSUE KLOSET & ETCETERA และ URFACE ในการนำ ‘ถุงเหลือใช้จากการบรรจุปูนซีเมนต์’ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยการทำเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการวัสดุเหลือใช้ โดยนำกลับมาเป็นทรัพยากรที่ใช้หมุนเวียนในระบบด้วยกระบวนการที่เหมาะสม และเพื่อให้การถ่ายทอดแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียนกับกลุ่มผู้บริโภคง่ายขึ้น รวมถึงเป็นการสร้างการรับรู้ในวงกว้างด้วยการออกแบบและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคได้จึงเป็นที่มาของการจัดทำกระเป๋า ลิมิเต็ด เอดิชั่น ซึ่งเป็นกระเป๋าที่ผลิตจาก ‘ถุงเหลือใช้จากการบรรจุปูนซีเมนต์’ ของแบรนด์ต่างๆ ในเครือ   เอสซีจี ผลิตขึ้นเพียงแบรนด์ละ 100 ใบให้เหล่าแฟชั่นนิสต้าได้เลือกมิกซ์แอนด์แมทช์ตามสไตล์ของตัวเอง โดยดีไซเนอร์จากทั้งสามแบรนด์ได้ถ่ายทอดเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละแบรนด์ออกมาได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ เอสซีจี ยังได้จัดแสดงกระเป๋า ลิมิเต็ด เอดิชั่น จากโครงการ ‘Bag to The Future’ ณ บูธกิจกรรมของเอสซีจี ภายในงาน STYLE Bangkok 2019 (สไตล์ แบงค็อก 2019) งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค และทั้งนี้รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจะนำไปบริจาคให้กับ “มูลนิธิที่อยู่อาศัย ประเทศไทย” เพื่อนำไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยผ่านการสร้างบ้านและพัฒนาชุมชนเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมที่น่าอยู่ให้ดียิ่งขึ้น”

คุณภูภวิศ กฤตพลนารา ผู้ก่อตั้งและดีไซเนอร์จาก ISSUE แบรนด์ไทยชั้นนำสุดเก๋ที่มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร เล่าถึงความรู้สึกและแนวคิดในการออกแบบกระเป๋า ลิมิเต็ด เอดิชั่นว่า “ทางแบรนด์ ISSUE รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบกระเป๋าให้กับโครงการดีๆ ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการนำวัสดุเหลือใช้มาเพิ่มประสิทธิภาพ สำหรับแนวคิดการออกแบบกระเป๋า ลิมิเต็ด เอดิชั่นในครั้งนี้ คือ การดึงจุดเด่นของ ‘ถุงบรรจุปูนซีเมนต์’ ที่นอกจากจะเป็นวัสดุที่มีความทนทาน สามารถบรรจุของในปริมาณมากได้แล้ว ยังมีน้ำหนักเบา ดังนั้นรูปแบบของกระเป๋าจึงเน้นความเรียบง่าย และดีไซน์ที่ไม่ซับซ้อน แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยสเน่ห์จากความปราณีตในการตัดเย็บ นอกจากนี้ เรายังเน้นเรื่องฟังก์ชั่นการใช้งานควบคู่กันไปด้วย เช่น สามารถพกพา และเปิดใช้งานได้อย่างสะดวก จุของได้มาก เรียกว่าตอบโจทย์   คนรักแฟชั่นที่มองเห็นความสำคัญของการนำวัสดุเหลือใช้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ และยังเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างแน่นอนครับ”

คุณเจริญวิทย์ เพ็ญพงศ์ ดีไซเนอร์จากแบรนด์ KLOSET & ETCETERA ที่โดดเด่นด้วยความสดใสจากสีพาสเทล และแพทเทิร์นที่โดดเด่น กล่าวถึงความรู้สึกและความท้าทายในการออกแบบกระเป๋า ลิมิเต็ด เอดิชั่นว่า “แบรนด์ KLOSET รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งครับที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ และแบ่งปันสิ่งดีๆ ร่วมกับโครงการนี้ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งโปรเจคท์ที่สนุก และมีความท้าทายอีกด้วย เพราะโจทย์หลัก คือ การออกแบบกระเป๋าที่ใช้วัสดุอย่าง ‘ถุงบรรจุปูนซีเมนต์เหลือใช้’ เป็นวัสดุหลัก ด้วยความที่ถุงปูนฯ เป็นวัสดุที่มองแล้วให้ความรู้สึกแข็งแรง ดุดัน เราจึงนำเสนองานดีไซน์ในรูปแบบของการออกแบบลายปริ้นต์ โดยเลือกที่จะนำลายเสือมาเป็นจุดเด่น และเพิ่มดีเทลด้วยการใช้เทคนิคงานปัก ซึ่งเป็นเทคนิคหลักของแบรนด์ KLOSET ทำให้โลโก้รูปเสือ และลวดลายเสือบนกระเป๋าดูมีมิติ และโดดเด่นมากยิ่งขึ้น โดยออกแบบในดีไซน์กระเป๋าทรงสี่เหลี่ยม (Tote bag) ทำให้ใช้งานได้ง่าย และสะดวกในการใส่ของที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันครับ”

คุณอารักษ์ อ่อนวิลัย ดีไซเนอร์จาก URFACE แบรนด์ที่นำศิลปะมาเปลี่ยนเป็นแฟชั่น กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบลวดลายบนกระเป๋า ลิมิเต็ด เอดิชั่นว่า “เราได้แรงบันดาลใจมาจากจุดเด่นของถุงบรรจุปูนซีเมนต์ที่มีความทนทานสูง จึงเลือกนำเสนอจุดเด่นนี้ผ่านลวดลายงานศิลปะซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ URFACE โดยเน้นจุดเด่น คือ ‘รูปเสือ’ จากโลโก้ของถุงบรรจุปูนซีเมนต์ที่ถูกรายล้อมไปด้วยน้ำ และไฟ เพื่อสื่อถึงความทนทานของถุงปูน และเพิ่มตัวอักษรภาษาลาวลงไปเป็นส่วนหนึ่งของกราฟิคด้วย ใช้สีที่ฉูดฉาดตามเอกลักษณ์ของแบรนด์ อีกหนึ่งไฮไลท์ของกระเป๋า URFACE คือ การที่สามารถใช้งานได้ทั้งด้านนอกและด้านใน โดยด้านที่มีลวดลายนั้นทำมาจากหนัง PU ที่มีคุณสมบัติกันน้ำ และรอยขีดข่วน ส่วนอีกด้านจะเป็นลายของถุงบรรจุปูนซีเมนต์ครับ” สำหรับกระเป๋า ลิมิเต็ด เอดิชั่นที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์จาก ISSUE KLOSET & ETCETERA และ URFACE ผลิตขึ้นเพียงแบรนด์ละ 100 ใบ ให้เหล่าแฟชั่นนิสต้าได้เลือกมิกซ์แอนด์แมทช์ตามสไตล์ของตัวเอง โดยจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ผู้ที่สนใจสามารถหาซื้อได้ตามรายละเอียด ดังนี้

กระเป๋าจากแบรนด์ ISSUE วางจำหน่ายในราคา 3,590 บาท

  • ร้าน ISSUE สาขาสยามสแควร์ ซอย 3
  • ช่องทาง LINE: @issuethailand

กระเป๋าจากแบรนด์ KLOSET & ETCETERA วางจำหน่ายในราคา 3,450 บาท

  • ร้าน KLOSET & ETCETERA สาขาสยามเซ็นเตอร์
  • ช่องทาง LINE: @kloset_etc
  • เว็บไซต์ https://klosetdesign.com/product-category/klosetetcetera/

กระเป๋าจากแบรนด์ URFACE วางจำหน่ายในราคา 1,880 บาท

  • ร้าน URFACE สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ สยามดิสคัฟเวอรี่ ไอคอนสยาม และเอ็มควอเทียร์
  • ช่องทาง com/urfacestore#SCGCIRCULARWAY #BAGTOTHEFUTURE[ข่าวประชาสัมพันธ์]

  •  
  •  
  •  
  •  
  •