หนึ่ง Movement สำคัญ ที่ไม่ว่าธุรกิจประเเภทไหนต่างก็เร่งหันหัวเรืออย่างเร่งด่วน คงหนีไม่พ้นเรื่อง ESG หรือการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลที่ดี ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นภาคบังคับสำหรับธุรกิจกันไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนโยบายกำกับดูแลการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนที่กำหนดกรอบการปล่อยคาร์บอนในการผลิตสินค้า กระทั่งแนวทางของผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันมาจริงจังกับเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ล้วนเป็นตัวบ่งชี้ว่าธุรกิจที่ยังไม่เดินหน้าเรื่องนี้อาจตกขบวน และเสียโอกาสอย่างมากในเร็ววันได้
ในมุมหนึ่ง อาจมองได้ว่าการเปลี่ยนทิศทางของธุรกิจเข้าสู่เส้นทางของ ESG นั้นมีความท้าทายมากมายที่ธุรกิจต้องเผชิญ จึงไม่แปลกเลยที่ตัวผู้ประกอบการเองก็ต้องคิดหนักว่าจะเดินหน้าธุรกิจอย่างไรไม่ให้เสียโอกาสในอนาคต และไม่กระทบกับปัจจุบันด้วย
แต่สำหรับ KCG หรือ บริษัท เคซีจี คอร์เปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ซึ่งเคยใช้ชื่อว่า ‘กิมจั๊วพาณิชย์’ และเป็นผู้ผลิตคุกกี้กระป๋องแดง Imperial ที่หลายคนรู้จักกันดี มองว่าแม้การนำหลัก ESG (Environmental, Social, and Governance) จะเป็นเรื่องท้าทายไม่น้อยโดยเฉพาะกับธุรกิจอาหารที่มีความซับซ้อนมากกว่าธุรกิจประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิต การแปรรูป ไปจนถึงการจัดจำหน่าย ที่ต้องรักษาคุณภาพตลอดกระบวนการไว้ให้ได้ ทำให้มีวิธีการจัดเก็บ และข่นส่งสินค้าแตกต่างจากธุรกิจประเภทอื่นๆ แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีในการตอบรับความต้องการของลูกค้า และทำเพื่อส่วนรวมไปพร้อมกัน
ด้วยความยากเหล่านี้ KCG จึงกลับมาที่จุดตั้งต้นพื้นฐานของการทำธุรกิจอาหาร นั่นคือการ ‘ส่งมอบอาหารที่สดใหม่ให้ลูกค้า’ ผ่านกระบวนการจัดการที่คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมาอย่างยั่งยืน และนี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดคลัง และศูนย์กระจายสินค้า ‘KCG Logistics Park’ เพื่อเสริมแกร่งการจัดการซัพพลายเชนตลอดทั้งห่วงโซ่ และส่งสินค้าคุณภาพให้ถึงมือลูกค้า
ทุ่มงบ 350 ล้าน เน้นหนัก ‘Supply Chain & Inventory Management’ เปิด ‘KCG Logistics Park’
“KCG เรามีแบรนด์ในเครือรวมกว่า 50 แบรนด์ ที่สามารถตอบโจทย์ด้านความหลากหลายของลูกค้าได้อยู่แล้ว การเปิด KCG Logistics Park จะช่วยเรื่องการเก็บรักษา และกระจายสินค้าสู่มือลูกค้าอย่างรวดเร็ว และปลอดภัย นับข้อต่อสำคัญในห่วงโซ่อุปทานจากต้นน้ำ สู่ปลายน้ำ พร้อมยกระดับความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ และตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนไปพร้อมกัน” – คุณดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์เปอเรชัน จำกัด (มหาชน)
โดยทาง KCG ได้ลงทุนกว่า 350 ล้านบาท เปิดตัว KCG Logistics Park สาขาที่ 4 ในจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นศูนย์กระจายสินค้า และคลังสินค้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของตลาด ทั้งยังสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบครัน ทั่วทั้ง 77 จังหวัด โดยเป็นการต่อยอดมาจาก 3 สาขาก่อนหน้าที่ เชียงใหม่ ขอนแก่น และสุราษฎร์ธานี
ศูนย์โลจิสติกส์แห่งใหม่นี้มีพื้นที่ใช้สอยรวมกว่า 15 ไร่ พร้อมความสามารถในการจัดเก็บสินค้าสูงสุดที่ 13,924 พาเลท บนพื้นที่สำหรับจัดเก็บสินค้ามากถึง 12,000 ตารางเมตร โดยมีการแบ่งพื้นที่คลังออกเป็น 4 โซนตามอุณหภูมิ ได้แก่:
– Ambient Zone: อุณหภูมิประมาณ 25°C สำหรับสินค้าที่ไม่ต้องการควบคุมอุณหภูมิอย่างเคร่งครัด
– Air Con Zone: อุณหภูมิ 18-22°C คล้าย Ambient Zone แต่เน้นการควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์บางชนิดที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ
– Chilled Zone: อุณหภูมิ 0-8°C สำหรับสินค้าที่ต้องการความเย็นเพื่อรักษาคุณภาพ เช่น ผลิตภัณฑ์นมและอาหารสด
– Frozen Zone: อุณหภูมิ -18 ถึง -25°C สำหรับสินค้าที่ต้องการการจัดเก็บในสภาพแช่แข็ง เช่น วัตถุดิบเบเกอรี่ และขนม
คลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับ 3 กลุ่มสินค้าหลักของ KCG ได้แก่ Dairy Products, Food and Bakery Ingredients (FBI) และ Biscuit เพื่อจัดเก็บสินค้าในโซนอุณหภูมิที่เหมาะสม และรักษาคุณภาพ ความสดใหม่ของสินค้ายังคงคุณภาพ ก่อนส่งถึงมือผู้บริโภค
นอกจากระบบจัดการสินค้าที่ครอบคลุมแล้ว KCG Logistics Park ยังนำระบบอัตโนมัติ (Automation) เข้ามาใช้ในการบริหารคลังสินค้าและการขนส่ง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการซัพพลายเชนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เช่น
– Warehouse Management System (WMS): ระบบบริหารจัดการคลังสินค้าอัตโนมัติที่ช่วยให้การจัดเก็บและค้นหาสินค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
– Transportation Management System (TMS): ระบบบริหารการขนส่งที่ช่วยให้การจัดส่งสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น และสามารถติดตามสถานะการขนส่งได้ตลอดเวลา
การเปิดตัว KCG Logistics Park จึงไม่เพียงแค่เพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายสินค้า แต่ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ และตอบสนองต่อความต้องการในด้านความยั่งยืนของตลาดยุคใหม่ที่มุ่งเน้นความรวดเร็ว ความปลอดภัย และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
กลบความยากของธุรกิจอาหาร สู่เส้นทางความยั่งยืนเต็มรูปแบบ
สำหรับการเปิดตัว KCG Logistics Park นอกจากจะเพื่อเพิ่มความรวดเร็ว และความปลอดภัยในการจัดส่งสินค้าแล้ว ยังเป็นการแก้รับมือกับปัญหา และความท้าทายด้านซัพพลายเชนของธุรกิจอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การสร้างระบบควบคุมอุณหภูมิสินค้าเพื่อรักษาคุณภาพอาหารให้สดใหม่ หรือการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติในการจัดเก็บสินค้าที่เหมาะสมกับอุณหภูมิที่แตกต่างกัน
สิ่งเหล่านี้ทำให้ KCG สามารถรับมือกับความซับซ้อนของธุรกิจอาหารได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการลดการสูญเสียสินค้า ลดการใช้พลังงาน และลดของเสียสู่สภาพแวดล้อม ซึ่งล้วนเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจบนหลัก ESG ไปในคราวเดียวกัน
KCG Logistics Park จึงไม่ใช่แค่การปรับปรุงด้านการจัดการซัพพลายเชน แต่เป็นก้าวสำคัญในการช่วยให้ KCG สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในยุคที่ความยั่งยืนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความน่าเชื่อถือและความสำเร็จของบริษัทในระยะยาว
นอกจากนี้ KCG ยังหันมาใช้ระบบพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก ซึ่งเมื่อสำเร็จจะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพียงพอสำหรับ KCG Logistics Park รวมไปถึงโรงงานสาขาที่บางพลี และศูนย์กระจายสินค้าย่อยทั้ง 3 แห่งที่เชียงใหม่ ขอนแก่น และสุราษฎร์ธานี ด้วย ซึ่งช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ราวปีละ 1,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 120,000 ต้น และประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึงปีละ 10 ล้านบาท
ในด้านของโลจิสติกส์ KCG ตั้งเป้าเปลี่ยนรถขนส่งให้เป็นระบบ EV ที่ 30% จากทั้งหมด 150 คัน เพื่อลดต้นทุนด้านเชื้อเพลิงในระยะยาว
สู่เป้าหมายการเติบโต 1 หมื่นล้านบาท
ในด้านของการเติบโต ภาพรวมการดำเนินงานของปี 2566 ที่ผ่านมา มียอดขายรวม 7,157 ล้านบาท เติบโตขึ้น 16.2% นับเป็นสถิติสูงที่สุดในรอบ 65 ปีที่ก่อตั้งบริษัทมา โดยมีสินค้ายอดนิยมดังนี้
1. กลุ่มผลิตภัณฑ์นม (Dairy Products)
– แบรนด์หลัก: Imperial, Allowrie, Dairy Gold
– แบรนด์นำเข้า: Elle & Vire, Emmi, Le Gall, Emborg, Shine Road
– ยอดขายรวม 4,086 ล้านบาท เติบโต 15%
2. กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับประกอบอาหาร และเบเกอรี่: ยอดขาย
– แบรนด์หลัก: Imperial, Sunquick, Bake Master
– แบรนด์นำเข้า: Kawan, Ciao, Van Houten Professional, Brugge Man
– ยอดขายรวม: 2,061 ล้านบาท เติบโต 15.3%
3. กลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต:
– แบรนด์หลัก: Imperial, Cookie Choice, Baker’s Choice, Rosy, Violet
– ยอดขายรวม: 1,009 ล้านบาท เติบโต 23.9%
ส่วนยอดขายในแต่ละช่องทางจำหน่าย นำโดย
1. ลูกค้ากลุ่มผู้ประการ (ฺB2C): 2,892.7 ล้านบาท เติบโตขึ้น 14.2%
2. ลูกค้ากลุ่มผู้บริโภคทั่วไป (B2C): 3,938 ล้านบาท เติบโต 17.7%
3. สินค้าส่งออก (Export): 325.7 ล้านบาท เติบโต 18.1%
สำหรับผลประกอบการในปี 2567 นี้ ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แม้เป็นช่วง Low Season แต่สามารถกวาดยอดขายไปได้ 1,688.9 ล้านบาท โตขึ้น 8.2% และมีกำไรอยู่ที่ 94.5 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นราว 86.3% ด้านคุณดำรงชัยมองว่า การเปิดตัว KCG Logistics Park สาขาที่สมุทรปราการอย่างเป็นทางการจะช่วยยกระดับการดำเนินธุรกิจของแบรนด์จนไปถึงเป้าหมายการเติบโต 10,000 ล้านบาทได้สำเร็จภายใน 3-5 ปีนี้