‘เมเจอร์’ เปิดศึกช่วงชิงเวลาผู้บริโภค ส่ง ‘Movie on Demand’ เพิ่มความถี่คนดูหนัง

  • 55
  •  
  •  
  •  
  •  

เพราะเวลาของผู้บริโภคในปัจจุบันถูกแย่งชิงไปด้วยตัวเลือกที่หลากหลาย ทั้งการท่องเที่ยว , การชอปปิ้ง รวมถึงบริการสตรีมมิ่งวีดีโออย่าง Netflix  ฯลฯ เมื่อรวมกับพฤติกรรมดูหนังของคนไทย คือ ‘เมื่อต้องการดู จะดูทันที’ แบบไม่วางแผนล่วงหน้า ทำให้หลายต่อหลายครั้ง ไม่สามารถเลือกหนัง เลือกรอบ และเลือกสาขาได้ตามต้องการ

ทั้งหมด ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้การดูหนังในโรงภาพยนตร์ของคนไทยอยู่ในอัตราที่ต่ำ คือ เฉลี่ย 0.78 เรื่องต่อคนต่อปี และเป็นโจทย์ทางธุรกิจที่ทางผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์พยายามแก้มาตลอด

รวมไปถึงเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ที่แม้จะมีข้อได้เปรียบในเรื่องสาขาและมีจำนวนโรงมากที่สุด  โดยปัจจุบันเมเจอร์มีสาขาในไทย 135 สาขา 705 โรง แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 41 สาขา 333 โรง, ต่างจังหวัด 94 สาขา 367 โรง ไม่นับรวมสาขาในต่างประเทศที่มี 6 สาขา 33 โรง ที่กัมพูชา 4 สาขา 24 โรง และลาว 2 สาขา 9 โรง ก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน

ที่ผ่านมาทางเมเจอร์เอง พยายามเพิ่มความถี่ในการดูหนังของผู้บริโภคให้มากขึ้น ผ่านหลายยุทธวิธี อาทิ การทำการตลาดแบบ Segmentation  มุ่งตอบสนองความต้องการลูกค้าในแต่ละกลุ่ม , การจัดกิจกรรมและอัดโปรโมชั่นสารพัดรูปแบบ

major

มาถึงล่าสุดกับบริการใหม่  Movie on Demand ที่มาในคอนเซปต์ ‘หนังทางเลือกใหม่…ตามใจคุณ’ เพื่อเปิดศึกช่วงชิงเวลาของผู้บริโภคให้มาดูหนังมีความถี่มากขึ้น

On Demand อย่างไร

1. ลูกค้าสามารถเลือกดูหนังทั้งที่กำลังอยู่ในโปรแกรมหรือออกจากโปรแกรมก็ได้  โดยช่วงแรก Movie on Demand จะมีภาพยนตร์ให้เลือก  50 เรื่อง ที่ถูกคัดมาแล้วว่าเป็นที่นิยม แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่  หนังรางวัล , หนังแนะนำ , หนังฮอลลีวู้ด , หนังไทย และหนังเอเชีย ทั้งญี่ปุ่น, เกาหลี และจีน

2. เลือกเวลาและเลือกสาขาในการฉายได้ตามต้องการ

3. เลือกกลุ่มเพื่อนมาดูด้วยได้

โดยสามารถเข้าไปเลือกได้ทาง majorcineplex.com/movieondemand/homepage จากนั้นจะเปิดให้โหวต ด้วยการใช้ Log in เฟสบุ๊ค หากได้ครบ 100 โหวต ทางเมเจอร์จะเปิดรอบฉายตามที่เลือก ซึ่งจะปิดโหวตก่อนหนังฉาย 4 วัน

capture-20180614-190153

 

นรุตม์ เจียรสนอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด(มหาชน) กล่าวถึงที่มาของบริการ Movie on Demand ว่า มาจาก Paint Point ของผู้บริโภค ที่ไม่เวลา เมื่อจะดูหนังจะดูเลย ทำให้บางครั้งมีปัญหาว่า ไม่มีเรื่อง รอบ ในสาขาที่อยากดู ซึ่งคนกลุ่มนี้มีเยอะมาก

นอกจากนี้ยังมาจากการเห็นช่องว่าง คือ หนังแต่ละเรื่องที่ออกจากโรงไปแพลตฟอร์มอื่น ไม่ว่าจะสตรีมมิ่ง ดีวีดี หรืออะไรก็ตาม มีเงื่อนไขว่า ต้องรอ 90 วัน แล้วลูกค้าอยากดูทำอย่างไร บริการนี้จึงมาตอบโจทย์ คนดู ได้ดู เราขายตั๋วได้เพิ่ม ค่ายหนังก็มีรายได้เพิ่ม

“ก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ทางเมเจอร์ได้ทดลองบริการนี้ เมื่อ 8 เดือนที่ผ่านมา ใน 8 สาขา เพื่อดูการตอบรับของลูกค้า โดยมีหนังให้เลือก 1 เรื่องต่อสาขาต่อสัปดาห์ พบว่า มียอดการซื้อตั๋วเกิน 50% มากกว่ารอบการฉายแบบปกติที่มียอดการซื้อตั๋วเฉลี่ย 30-40% ทำให้มั่นใจว่าบริการนี้เวิร์ค”

ในช่วงแรก จะมีโรงภาพยนตร์ให้บริการ 24 สาขา ในกรุงเทพฯ 17 สาขา และต่างจังหวัด 7 สาขา ที่แต่ละสาขาจะมีโรงภาพยนตร์รองรับบริการนี้ 1 โรง มีช่วงเวลาให้เลือกวันละ 3-4 รอบ และเพื่อเป็นการดึงให้คนรู้จักและมาใช้บริการนี้ให้มากที่สุด ราคาตั๋ว จะขายในราคาตั๋ววันจันทร์ ซึ่งมีราคาถูกที่สุด โดยแต่ละแห่งจะแตกต่างกัน  อย่างเช่น สาขารัชโยธิน ราคาจะอยู่ที่ 150 บาท สาขาพารากอน 220 บาท เป็นต้น

วางแผนการพัฒนา 3 เฟส

capture-20180614-190022

ทั้งนี้การพัฒนา Movie on Demand  วางแผนไว้ 3 เฟส เริ่มเฟสแรกวันที่ 18 มิ.ย.นี้ ในการให้บริการผ่านเฉพาะทางเวบไซต์ majorcineplex.com  จากนั้นในเดือน ต.ค. จะเริ่มทำเฟส 2 ให้บริการเพิ่มทางแอพพลิเคชั่นของเมเจอร์ พร้อมกับเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น

ส่วนเฟส 3 จะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้ ที่จะมีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาเสริมในการเรียนรู้ลูกค้าให้มากขึ้น อาทิ  AI , Data Learning  และมีแผนจะนำไปเชื่อมต่อกับบัตร M Gen ในการแลกพ้อยท์

“อนาคตเราพยายามขยายไปในทุกสาขาของเรา และมีแผนจะนำคอนเสิร์ต หรือหนังที่ไม่เคยเข้าฉายในโรงมาให้บริการด้วย ถามว่า คุ้มหรือไม่ เรามองว่า เป็นตลาดที่เราต้องครีเอทขึ้นมา เพื่อเพิ่มความถี่ในการดูหนังของลูกค้า”

สำหรับบริการใหม่นี้ ทางเมเจอร์ตั้งเป้าหมายใน 6 เดือน จะมียอดจำหน่ายตั๋วอยู่ที่ 1 ล้านใบ ขณะที่ยอดขายตั๋วในปีนี้ ทางเมเจอร์ตั้งเป้าไว้ที่ 34 ล้านใบ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ที่ขายตั๋วไป 32 ล้านใบ

ส่วนในระยะยาว Movie on Demand  จะเพิ่มยอดขายตั๋วโดยรวมและเพิ่มความถี่ในการเข้ามาดูหนังของคนมากขึ้นแค่ไหน ต้องประเมินอีกครั้ง โดยเฉพาะผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้จากการให้อิสระกับผู้บริโภคในการเลือกที่มากขึ้น


  • 55
  •  
  •  
  •  
  •