ปี 2018 นี้เริ่มเข้ามาสู่ปลายเดือนที่ 2 ของปีแล้ว นับจากต้นปีมา รูปแบบและการเปลี่ยนแปลงใน Social Media นั้นมีมากมายจริง ๆ ทำให้นักการตลาดหลาย ๆ คนนั้นต้องติดตามกระแสต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดอย่างมาก เพื่อที่จะสามารถปรับตัวการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้ทันขึ้นมา และไม่ถูกแบรนด์และคู่แข่งต่าง ๆ ทิ้งห่างในตลาดไป
ทั้งนี้จากต้นปีที่ผ่านมา สิ่งที่เกิดขึ้นคือการที่ Facebook นั้นสูญเสียผู้เล่นอายุน้อย ๆ ออกจาก Platform ไปอย่างมาก ซึ่งก็หนีกลับไปอยู่ที่ snapchat และ Twitter พร้อมกันนี้ Facebook ก็ถูกโจมตีเรื่อง Fake news และการใช้ algorithms ต่าง ๆ ที่ไม่เป็นธรรมออกมา ทำให้เมื่อต้นปีที่ผ่านมามีการปรับลด Reach ของ Facebook อยู่ 2 รอบ จากการที่ลดรอบแรกเพื่อให้แสดงผลของโพสของเพื่อนและคนรอบตัวของผู้ใช้ Facebook ออกมา และมาลดรอบสองอีกกว่า 20% เพื่อให้ Reach ที่เห็นเป็น unique reach หรือ reach ที่ตรงกับกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาจริง ๆ มากขึ้น นอกจากสิ่งที่เกิดขึ้นจากตรงนี้ที่วัยรุ่นหนีไปอยู่ Platform อื่นก็ทำให้ Twitter นั้นกลับมาฮิตอีกครั้ง และ Snapchat ก็กลับมาโตอีกครั้งเช่นกัน รวมทั้ง Platform อย่าง Vine ที่จะกลับมาเพราะยุคนี้เป็นยุคของ Video นั้นเอง
จากเหตุการณ์ด้งกล่าวทำให้การรู้ว่าจะต้องจับตามองเรื่องอะไรนั้นจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะสามารถทำให้รีบปรับตัวหรือลองทำอะไรต่าง ๆ ได้ก่อนเทรนด์หรือสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงนั้นจะมานั้นเอง ซึ่งในปีนี้มีเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าจะเกิดขึ้นและน่าจับตามองอย่างมากในการเปลี่ยนแปลง Social Media ดังนี้
1. การเกิดขึ้นของ Community ต่าง ๆ : ส่ิงหนึ่งที่เห็นได้ชัดหลังการปรับเปลี่ยนของ Facebook มาคือการเกิดขึ้นของ Community ต่าง ๆ มากมายภายใน Facebook หรือ Group นั้นเอง ซึ่งมีตั้งแต่ Group ขายของต่าง ๆ จนถึง Group ของการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน การเกิดขึ้นของ Group เหล่านี้คือการรวมตัวของคนที่มีความสนใจเดียวกันและอยากได้ข้อมูลแลกเปลี่ยนในสิ่งที่สนใจกันนั้นเอง ซึ่งการอยู่ใน Group นั้นทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้ข้อมูลที่ตัวเองต้องมากกว่า การไปอยู่ใน Newsfeed ที่จะเห็นอะไรต่ออะไรที่บางทีไม่ได้สนใจ แต่เพื่อนสนใจส่งมาให้นั้นเอง
2. Micro Influencer : การมาถึงของ Micro Influencer ทำให้การทำการตลาดผ่านผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดออนไลน์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จากที่เมื่อก่อนจะใช้ใครเป็น Influencer ก็ได้หรือใช้คนทั่วไปมาทำเป็น Influencer ยุคนี้ต้องกลับไปใช้ Influencer ที่เป็นตัวจริง เสียงจริง และมีอิทธิผลต่อ Influencer คนอื่น ๆ ด้วย ทำให้การลงเงินที่จะช่วยให้เกิดการรู้จักสินค้า หรือชักชวนสินค้าได้มีประสิทธิภาพ และมีผลมากยิ่งขึ้น แถม Influencer เหล่านี้ยังมีคสวามเชี่ยวชาญและความรู้ หรือความน่าเชื่อถือสูง ทำให้การทำการตลาดผ่านกลุ่มคนเหล่านี้ได้ผลอย่างแน่นอน (ถ้าทำถูกต้องนะ)
3. User Generated content : เมื่อ Facebook ลด Reach ของ Page ลง สิ่งที่ต้องเริ่มกลับมาคิดสำหรับนักการตลาด คือการที่จะทำอย่างไรให้ Reach ตัวเองกลับมา หรือกระแสของแบรนด์ยังอยู่ในออนไลน์ นั้นคือการต้องกลับไปกระตุ้นให้เกิดการทำ User Generated Content ขึ้นมานั้นเอง ซึ่งจะทำให้เรื่องราวของแบรนด์ถูกแชร์ผ่านไปยัง Consumer ด้วยกันง่ายกว่า และ reach ได้สูงกว่าการที่แบรนด์จะทำเองขึ้นมา ทั้งนี้ข้อดีของการทำ User Generated Content ก็คือการที่แบรนด์สามารถประหยัดงบประมาณตัวเองในการทำการตลาดได้มากมาย เพราะใช้กระแสการบอกปากต่อปาก โดย User Generated content เหล่านี้
4. Strong Visual : เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นมา ทำให้คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีนั้นมีพฤติกรรมที่แตกต่างจากคนที่ผ่านยุค Analog มา ทำให้คนรุ่นใหม่นี้มีการประมวลผลที่เร็วมากในสมอง ที่สามารถดูและจับได้เลยว่าเนื้อหานั้นคืออะไร โดยเฉพาะเนื้อหาที่เป็นภาพนั้นเอง ซึ่งทำให้ภาพที่โดดเด่นนั้นจะสามารถเป็นเป้าสายตาและดึงดูดสายตาได้มากกว่านั้นเอง ทำให้ปี 2018 นี้การใช้ภาพที่แรง ๆ สีจัด ๆ หรือมี compost ภาพแบบ Art นั้นกำลังจะมาแรงอย่างมาก และเป็นสิ่งที่น่าลองทำเพื่อจับกลุ่มคนที่ประมวลผลได้เร็วขึ้น
5. Private Chat : สิ่งที่เกิดขึ้นมาที่น่าสนใจน่าจากการเกิดขึ้นของ Group และความสนใจต่าง ๆ แล้ว ส่ิงที่ตามมาคือการเกิดขึ้นของ Private conversation ใน App ต่าง ๆ ซึ่งเราจะเริ่มเห็นการที่ App นั้นเริ่มมีฟีเจอร์ Direct message เข้าหากันมากขึ้น ซึ่งเกิดจากการที่เมื่อโลกอินเทอร์เนตมาและผู้คนเปิดเผยเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านออนไลน์เรื่องราวหรือการคุยกันเหล่านั้นไม่ได้เป็นความลับ และอาจจะมีผลมายังอนาคต ทำให้ผู้ใช้ Platform ต่าง ๆ ในยุตนี้จึงกลัวสิ่งที่จะเกิด จนเอา conversation ต่าง ๆ ไปคุยกันในที่ปิดแทน ทั้งนี้เราจึงเห็นได้จาก Instagram ที่มี Feature Direct Message ออกมา