นับตั้งแต่ “LINE” เปิดให้บริการในไทยเมื่อปี 2554 เริ่มต้นจากการเป็น “Chat Application” เส้นทางการเดินทางตลอดระยะเวลากว่า 8 ปี ได้สร้าง LINE Ecosystem ด้วยการต่อจิ๊กซอว์บริการต่างๆ ที่อยู่ในชีวิตประจำวันคนไทยอย่างต่อเนื่อง ถึงวันนี้มีไม่ต่ำกว่า 15 – 20 บริการ
เช่น LINE Chat, LINE TV, LINE Timeline, LINE Today, LINE Official Account, LINE Shopping, LINE Melody, LINE Webtoon, LINE Cemera, LINE Game, LINE Finance ที่จับมือกับพาร์เนอร์ด้านการเงิน และบริการภายใต้ LINE MAN เช่น Food Delivery, Taxi, Parcel, Convenience, Messenger, Mart
ภายใต้ LINE Ecosystem บริการที่มีผู้ใช้งานมากเป็นอันดับ 2 คือ “LINE Timeline” บริการที่ทำให้แพลตฟอร์ม LINE มีความเป็น Social Media มากขึ้น แต่อยู่บนพื้นฐานของ “Privacy” และ “Close Relationship”
นั่นคือ ผู้ใช้งาน LINE โพสต์คอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ตัวเองครีเอทเอง หรือแชร์ในสิ่งที่สนใจ คนที่จะเห็นโพสต์นั้นๆ บน Timeline ต้องเป็น friend กันเท่านั้น ทำให้ LINE Timeline แตกต่างจากแพลตฟอร์ม Social Media อื่นที่เน้น Public และ Follow
อย่างไรก็ตามเพื่อสร้างฐานผู้ใช้งาน “LINE Timeline” มากขึ้น นับตั้งแต่ปี 2019 และปี 2020 “LINE ประเทศไทย” จึงได้ revamp “LINE Timeline” ครั้งใหญ่ ด้วยการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ที่เป็น Social Integration มากขึ้น เพื่อพลิกโฉมไปสู่การเป็น “Social Private Platform” ที่ทำให้แพลตฟอร์มเป็น Public มากขึ้น
ขณะเดียวกันยังคงรักษาจุดแข็งด้าน Privacy โดยที่ผู้ใช้งานเป็นผู้กำหนดการตั้งค่าเอง และผู้ใช้ Timeline สามารถเป็น Content Creator ที่มีผู้ติดตาม และกลายเป็น Influencer ได้ในที่สุด
Revamp “LINE Timeline” ครั้งใหญ่
บนเวที CX Stage ในงาน Marketing Oops! Summit 2020 “พฤทธิสิทธิ์ ประทีปะวณิช” Head of Product and Platform Management, LINE Thailand ได้เล่าถึงการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ เพื่อยกระดับ “LINE Timeline” เป็น Social Private Platform บนความได้เปรียบของการมีฐานผู้ใช้งาน “LINE” 45 ล้านคน ที่จะทำอย่างไรให้ผู้ใช้งานเหล่านี้มาใช้ Timeline มากขึ้น
“LINE ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็น Social ที่เป็น Public เราเกิดขึ้นมาเพื่อเป็น Close Relationship ที่เป็น Private แต่วันนี้สำหรับ LINE Timeline จะทำให้เป็น Public มากขึ้น เพื่อทำให้คนใช้งานบริการนี้มากขึ้น เราได้ศึกษาปัญหาพบว่า คอนเทนต์ต่างๆ อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้
เพราะคนที่ใช้ LINE Timeline บางครั้งเปิดมาเจอโฆษณา เจอแต่โพสต์ของคนที่ไม่สนิทมาก ในขณะที่ตัวเราเองก็อยากดูคอนเทนต์ของเพื่อนเรา แต่กลับไม่เจอ และเสิร์ชก็ไม่ได้ ผู้ใช้งานรู้สึกว่าใช้งานยากไปหมด ทำให้เสียจุดสมดุลของการสร้างแพลตฟอร์ม”
หัวใจของการสร้าง User Experience ให้ดีขึ้น คือ “ฟีเจอร์” ที่ต้องพัฒนาให้ใช้งานง่าย – เข้าใจความต้องการของ User ผสานเข้ากับ “คอนเทนต์”
“เราใช้ฟีเจอร์เป็นตัวนำ ผมเชื่อว่าคอนเทนต์ดีมีส่วนช่วยเสมอ แต่คอนเทนต์ก็มีข้อจำกัดในตัวเอง แต่แท้ที่จริงแล้วในเชิงของแพลตฟอร์ม “ฟีเจอร์” จะเป็นตัวไดร์ฟ Impact ได้มาก ไปถึง 50 – 100% และคอนเทนต์ตามมาอีกที”
นี่จึงเป็นที่มาของการพัฒนา และเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในปี 2019 เช่น
-
“LINE Story” ฟีเจอร์ให้ผู้ใช้งานอัพเดท Story ที่จะแสดงในช่วงเวลาหนึ่งๆ เท่านั้น ไม่ได้อยู่ตลอดไป
-
“LINE Story Effect” ฟิลเตอร์ให้ผู้ใช้งานปรับแต่งรูปตามความชอบ เพื่อการใช้งานที่สนุกขึ้น ปัจจุบันมี 272 ฟิลเตอร์ และมี 49 โทนสี ซึ่งฟิลเตอร์ที่ได้รับความนิยมในไทย คือ ฟิลเตอร์เลขเด็ด ออกแบบมาเฉพาะตลาดประเทศไทยเท่านั้น
-
“1 Click Like” ปรับ User Interface กดเพียงครั้งเดียว เพื่อแสดงความรู้สึกได้เลย เพื่อประสบการณ์การใช้งานดีขึ้น
-
“Meme Maker” LINE ทำงานร่วมกับ Local Content Partner หากเห็นว่าคอนเทนต์ไหนดี จะนำมาต่อยอดทำเป็น Meme เพื่อโพสต์บน Timeline และทำให้ผู้ใช้งานได้มาใช้ Meme ด้วยเช่นกัน
-
“Content Partners” มีคอนเทนต์ของพาร์ทเนอร์ปรากฏอยู่บนหน้า Timeline
ปี 2020 ตั้งเป้าเป็น “Social Private Platform” เปิดฟีเจอร์ใหม่ – ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งาน
เป้าหมายของ “LINE Timeline” ในปี 2020 ต้องการเป็น “Social Private Platform” ด้วยการผนวกรวมระหว่างความเป็น “Social – Privacy – Relationship” เข้าด้วยกัน พร้อมทั้งเปิดฟีเจอร์ใหม่ และใช้ AI เสิร์ฟคอนเทนต์กับผู้ใช้งานแบบ Personalized Content เพื่อทำให้คนใช้งาน “LINE Timeline” มากขึ้น
ฟีเจอร์สำคัญที่จะทำให้ “LINE Timeline” เป็น Social Private Platform คือ “Explore” และ “Follower”
- “Explore” ฟีเจอร์ที่ทำให้ผู้ใช้งานเห็นคอนเทนต์ต่างๆ บน Timeline มากขึ้น
ต่อไปคอนเทนต์ที่ปรากฏบน Timeline มีทั้งคอนเทนต์ของผู้ใช้งานด้วยกันเอง ที่ตั้งค่าเป็น Public เพื่อแสดงให้คนอื่นเห็น (ในการโพสต์คอนเทนต์จะมีให้ผู้ใช้งานเลือกว่าต้องการให้เป็น Public หรือ Privacy), คอนเทนต์จาก Local Creator ที่ร่วมสร้างสรรค์ขึ้นกับ LINE, คอนเทนต์โฆษณา
ที่น่าสนใจคือ “LINE” ได้ใช้เทคโนโลยี AI มาวิเคราะห์พฤติกรรมการรับชมคอนเทนต์ของผู้ใช้งานแต่ละคน เพื่อทำให้คอนเทนต์ที่แสดงขึ้นมานั้น Personalize ตามความสนใจของผู้ใช้ LINE แต่ละคน
- “Follow” ฟีเจอร์ให้ผู้ใช้ LINE Timeline สามารถกดติดตาม Content Creator ที่ตนเองสนใจได้
เมื่อผู้ใช้ Timeline เห็นคอนเทนต์ แล้วอยากติดตามคอนเทนต์ของผู้ครีเอทคอนเทนต์นั้นที่เปิดเป็น Public ก็เข้าไปกดติดตามได้
“สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ถ้าผู้ใช้ LINE Timeline ดูคอนเทนต์แล้วชอบ ดูโปรไฟล์คนที่ทำคอนเทนต์นั้นๆ โดยที่ไม่ได้เป็น Friend กัน ก็สามารถกดติดตามได้ นั่นหมายความว่าใครก็ตามที่ทำคอนเทนต์ดี น่าสนใจ ก็จะกลายเป็น Influencer ได้เช่นกัน”
ขณะเดียวกัน “LINE” ยังรักษาจุดแข็งด้าน Privacy ดังนั้นใครที่ปิดเป็น privacy ก็จะไม่มีใครรู้ว่าคุณกำลังกดติดตามใคร ในทางกลับกัน Content Creator หรือ Influencer สามารถตั้งค่าเป็น Public เพื่อให้คนเห็นคอนเทนต์ และจำนวนคนติดตามได้
นอกจากนี้ยังเพิ่มฟีเจอร์ Topic Trending, Lifestyle, Fun Facts, Quiz เพื่อให้คนมา Engage การสื่อสารได้มากขึ้น