การทำธุรกิจในแต่ละขนาดนั้น ย่อมมีความสามารถและความแตกต่างกันในการลงมือที่จะทำการตลาดเพราะด้วยปัจจัยและต้นทุนที่มีทำให้ธุรกิจในแต่ละขนาดนั้นย่อมต้องมีวิธีที่แตกต่างกันเพื่อทำให้เป้าหมายทำธุรกิจของตัวเองนั้นสำเร็จได้ แน่นอนธุรกิจขนาดใหญ่ย่อมมีงบประมาณมากมายและสามารถทุ่มงบประมาณไปกับวิธีการต่าง ๆ ได้ แต่ถ้าเป็น SME นั้นจะต้องใช้งบประมาณที่มีอย่างจำกัดให้ได้ถูกต้องที่สุด เผลอต้องเลือกวิธีการที่เหมาะกับธุรกิจ SME ของตัวเองอีกด้วย
ในธุรกิจขนาดใหญ่นั้นมีงบประมาณในการธุรกิจมหาศาล สามารถทำแคมเปญใหญ่ ๆ เพื่อเรียกความสนใจมวลชนให้เกิดความสนใจได้ หรือสามารถจ้างเอเจนซี่ให้มาทำงานต่าง ๆ ได้ เพื่อลงทุนในสื่อโฆษณาที่มีมากมาย กลับกันเมื่อหันไปดูธุรกิจขนาด SME หรือในยุคนี้ที่มี Startup ที่เริ่มต้นด้วยเงินตัวเอง หรือต้องใช้เงินประหยัดอย่างมากมาย การเลือกการทำการสื่อสารทางการตลาดให้ถูกนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะไม่สามารถใช้งบประมาณไปอย่างิ้นเปลืองเพื่อหว่านแห่ให้คนสนใจได้ หรือ มีช่องว่างแห่งการผิดพลาดได้น้อยมาก เพราะถ้าผิดมาก็หมายถึงความเป็นอยู่ในธุรกิจตัวเองได้เลย และ SME ส่วนใหญ่จะต้องทำการตลาดต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เพราะต้องประหยัดงบเช่นนี้ การรู้ว่าการทำตลาดแบบไหนที่จะเหมาะกับตัวเองนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ทั้งนี้ในยุคนี้ที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ใช้ Social Media ทำให้ช่องทาง social media นี้กลายเป็นที่ที่ SME ใช้เป็นช่องทางในการกับกลุ่มเป้าหมาย แต่ปัญหาคือหลาย ๆ คนไม่รู้จะเลือก Platform ไหนดี หรือรูปแบบไหนที่จะเหมาะกับตัวเอง
Facebook : คือ Platform ที่สามารถกลายเป็นการประกาศตัวตนของแบรนด์ให้สาธารณะรู้ได้ และยังสามารถสื่อสารกลุ่มเป้าหมายได้ไม่จำกัดตัวอักษร เพราะฉะนั้นทำให้แบรนด์หรือ SME สามารถให้ข้อมูลได้อย่างเต็มที่ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นภาพ วิดีโอ หรือจะแบบไม่เป็นทางการในรูปแบบ emoji หรือไฟล์ Gif ที่นิยมในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามข้อความที่ยาวมาก ๆ ที่ไม่ได้สร้างความน่าสนใจตั้งแต่ต้นย่อมไม่ดึงดูดให้คนอ่านได้ เพราะฉะนั้นต้องคิดถึงความยาวในการทำเนื้อหาดี ๆ ข้อดีของ Facebook คือการเป็นเครื่องมือในการโฆษณาได้อย่างดี เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แบบเฉพาะเจาะจงความสนใจ แต่อย่างไรก็ตามความสามารถของ Facebook นี้ตอนนี้จะถูกจำกัดเป็เนครื่องมือที่ตั้งรับอย่างมาก เพราะคนทำแบรนด์จะไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าใครกำลังพูดอะไรเกี่ยวกับแบรนด์เราอยู่ใน Facebook ซึ่งทำให้ Facebook เหมาะกับการใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างชุมชนหรือปฏิสัมพันธ์กับคนที่สนใจแบรนด์ขึ้นมา
Twitter : คือ Platform ที่เป็นข้อความสั้น ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยนั้นกลายเป็น Platform ที่วัยรุ่นใช้กันเป็นส่วนใหญ่เพราะสามารถหนีผู้ปกครองตัวเองจาก Facebook ได้ นอกจากนี้คนที่ใช้ Twitter ส่วนหนึ่งก็เข้ามาติดตามศิลปินต่างประเทศ โดยเฉพาะเกาหลีที่ใช้ Twitter พูดคุยกับแฟน ๆ กัน การใช้ Twitter ต่างกับ Facebook เพราะเป็นการสื่อสารแบบ SMS มากกว่า และยังทำให้คนธรรมดาเข้าถึงดาราและเซเล็ปต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นด้วย ทั้งนี้ข้อดีคือ Facebook คือการสามารถใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาดในทางรุก เพราะสามรรถค้นหาข้อความของแบรนด์ตัวเอง หรือความต้องการต่าง ๆ เข้าไปปฏิสัมพันธ์ต่าง ๆ ได้ทันที ซึ่งทางแบรนด์ใครอยากจับวัยรุ่น หรือมีวัยรุ่นเป็นกลุ่มเป้าหมาย การใช้ twitter จะเหมาะมาก นอกจากนี้ Twitter ยังมีการใช้ tag เป็นเรื่องปกติ ซึ่งสามารถนำมาสร้างกระแสและสร้างการบอกต่อจนกลายเป็นไวรัลในสื่อ Platform ได้ทันที
Youtube : เป็น Platform Video ที่ต่างจาก Facebookด้วยการที่ Video Facebook ส่วนใหญ่จะเป็นการดูเพื่อความบันเทิงหรือเจอด้วยความบังเอิญจากเพื่อนหรือแบรนด์แชร์มาทำให้การตั้งใจดูจะน้อยมาก แต่กับ Youtube คนที่เข้ามาที่นี้จะมีความต้องการที่จะดู Video และต้องการให้ Video ตอบโจทย์ปัญหาหรือความต้องการตัวเอง ณ ขณะนั้นให้ได้ การที่เข้าไปอยู่ในนี้จึงสามารถจับคนที่กำลังมี moment of problem หรือ moment of need ในช่วงเวลานั้นได้พอดี นักการตลาดที่อยู่ในนี้จะสามารถใช้ Platform นี้ช่วยเสริมยอดขายหรือดึงไปถึงยอดขายได้ทันทีจากการที่สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ของคนที่เข้ามาค้นหาได้ทันที
Instagram : คือ Platform ของภาพถ่ายที่เรียกได้ว่า เป็นการเล่าด้วยภาพถ่ายออกไป สามารถแสดงความเป็น Branding หรือ Mood & tone ของแบรนด์มาแสดงได้เลย พร้อมยังสามารถใส่ความจริงใจ หรือภาพจริง ๆ ของแบรนด์เข้าไปด้วย ข้อดีของ Instagram คือการใช้ Tag แบบเดียวกับ Twitter ที่สามารถเชื่อมคนด้วย Tag ได้ หรือสามารถใช้ User Generated Content ของแบรนด์มาสร้างตัวตนภาพของแบรนด์ขึ้นมาได้อีกด้วย ซึ่งถ้า SME เป็นแบรนด์ Lifestyle หรือถ้าสร้างแบรนด์ผ่านภาพถ่ายได้จะเหมาะกับ Platform นี้มาก
ทั้งนี้ คนทำ SME ต้องลองมองดูว่า Platform แบบไหนจะใช้อย่างไรที่เหมาะกับตัวเอง และจงใช้แต่ละ Platform ให้ถูกวิธี ทดลองในการทำ ดูว่าอันไหนเหมาะกับตัวเองที่สุด เพื่อที่จะสามารถทำงานให้ได้มีประสิทธิภาพมากที่สุดออกมาได้